ความจริงแล้วผมเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบพูดถึงตัวเองต่อหน้าคนอื่น หรือบอกอะไรใครต่อใครว่าเราเป็นยังไง ถ้าให้พูดถึงตัวเองเล็กน้อยก็คงจะบอกว่า ผมค่อนข้างเป็นคนมีโลกส่วนตัวที่กังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว บางทีคนใกล้ตัวอาจจะไม่รู้เลยว่าวันๆ เราทำอะไรบ้าง ไปไหนบ้าง หรือมีคำพูดอะไรที่อยู่ใต้การกระทำนั้นๆ บ้าง แต่ถ้าคุณอ่านบทความของผมในหมวด life มาบ้างสักเรื่องสองเรื่อง คุณก็อาจจะงงว่าตกลงแล้วผมไม่พูดถึงตัวเองอยู่จริงๆ เหรอ
เมื่อก่อนผมมักชอบชวนเพื่อนที่ทำงานในสายงานคอมเหมือนกันให้มาเขียนบล็อกครับ ตอนแรกก็รู้สึกว่าอย่างน้อยเราก็มีเพื่อนในแวดวงเดียวกันที่เขียน และมีบล็อกส่วนตัวเหมือนๆ กัน แต่พอชวนมาเขียนก็จะเจอแต่คำถามที่ว่า “จะเริ่มยังไง” “ควรเขียนแบบไหน” หรือจะ “เขียนยังไงดี” มันฟังดูเหมือนเป็นคำถามที่ง่ายแล้วก็ไม่น่าจะเกิดเลยใช่ไหมครับ แต่ถ้าคุณเริ่มลองเขียนบล็อกที่เป็นบล็อกส่วนตัวแบบจริงจังดูบ้าง ผมว่าการเริ่มต้นจุดนี้มันยากนะที่จะเกิดบทความแรกขึ้นมาได้
เขียนบล็อกมันเป็นเรื่องยาก
มันยากเพราะเราแต่งเสริมเติมแต่งในภายหลังจนรู้สึกว่ามันเป็นบทความของเราที่ดูไม่เป็นเราเลยสักนิด เราเขียนเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง เขียนทำนองไหนเพื่อให้คนอ่านแล้วรู้สึก… หรือบางทีเขียนออกไปแล้วลบใหม่อยู่เรื่อยเพื่อทำให้มันดูดีที่สุดเท่าที่เราจะแก้ และมีเวลาทำได้ จนท้ายที่สุดพออ่านแล้วแม่งก็ดูไม่ค่อยใช่เราสักเท่าไหร่ แรกๆ ผมก็ค่อนข้างประหม่าครับ แต่พอเขียนไปได้ 4-5 เรื่องก็พอเข้าใจว่าแท้ที่จริงแล้ว ถ้าเรายังกังวล หรือแต่งเสริมคำพูดอยู่เรื่อยๆ มันก็เหมือนกับว่า บล็อกนี้มันเหมือนไม่ใช่ของเรา
เราเขียนสิ่งที่ออกมาจากความรู้สึกจริงๆ หรือเขียนเพื่ออยากให้ใครสักคน หรือคนบางกลุ่มบางประเภทประทับใจกันแน่?
เขียนเหมือนไม่มีจุดประสงค์
ผมเริ่มต้นเขียนบทความแรกตั้งแต่ปี 2011 โดยตอนนั้นก็อยากสร้างบล็อกส่วนตัวขึ้นมาเพื่อเก็บเรื่องราวที่ตัวเองรู้สึกในตอนนั้น แล้วก็ตั้งปณิธานมันตั้งแต่แรกว่าสิ่งที่เขียนจะต้องเป็นสิ่งที่มาจากความรู้สึกตอนนั้นจริงๆ ถ้าเรายังไม่ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกตัวเอง แล้วเราจะไปซื่อสัตย์กับความรู้สึกของคนอื่นได้ยังไง
ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องดีนะ ที่เขียนความรู้สึกตอนนั้นออกมาตรงๆ ไม่ว่ามันจะแย่ ดูเป็นเด็กไม่รู้จักโต หรือผ่านอะไรร้ายๆ มาสักแค่ไหน พอมันผ่านไปสักเดือนสองเดือน หรือปีสองปีเราย้อนกลับไปอ่านเรื่องนั้นที่เราเขียนอีกครั้ง บางทีมันก็รู้สึกแบบ “เห้ย เรื่องนั้นแม่งเล็กน้อยมากเลย แล้วตอนนั้นไปโฟกัสอยู่แค่ตรงนั้นทำไม” บางทีมันทำให้เรารู้สึกว่าเราโตขึ้น บริหารอารมณ์ได้ดีขึ้น รู้ว่าอะไรเป็นอะไรมากขึ้นกว่าช่วงเวลาที่เคยผ่านมาหน่อย
เลยตั้งใจที่จะเขียนแบบเป็นตัวเองมาตั้งแต่นั้น เผื่อในอนาคตอาจจะใช้ประโยชน์กับเรื่องราวเก่าๆ ได้บ้าง บางทีผมก็รู้สึกว่าตัวเองตรงไปตรงมาอย่างขวานผ่าซากไปหน่อย อารมณ์ค่อนข้างแกว่งแต่ก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร ผมขี้เกียจบรรยายว่าตัวเองเป็นคนยังไง คุณจะมองว่าผมเป็นคนยังไงก็ได้นั่นมันเรื่องของคุณ ถ้าไม่รู้จักกัน คุณอาจจะไม่เข้าใจกับสิ่งที่ผมทำ กลับกันถ้าคุณรู้จักผมดี คุณจะไม่ต้องเอ่ยปากถามเลยว่าทำไม
บางทีเราก็เหนื่อยหน่ายตัวเองที่เป็นแบบนี้ แต่บางทีเราก็รู้สึกดีที่เรายังได้เป็นเราอยู่เหมือนเดิม