ตอนเด็กๆ เรามักจะได้รับคำถามจากใครบ่อยๆว่า ความสามารถพิเศษคืออะไร หรือมีอะไรบ้าง เป็นคำถามที่เหมือนจะง่ายแต่มันทำให้ต้องมาคิดแล้วคิดอีกว่าเราทำอะไรได้เป็นพิเศษมากกว่าคนอื่นบ้าง หรือระดับไหนที่มันควรจะเหมาะสมกับคำว่าพิเศษ เพราะถ้าสมมติบอกว่าว่ายน้ำ ว่ายน้ำของเรามันถือเป็นความสามารถพิเศษหรือเปล่า หรือมันเป็นเพียงแค่ความสามารถธรรมดาที่เป็นเพียงระดับทั่วไป ไม่ใช่เรื่องพิเศษอะไร
คำว่ามีความสามารถอะไรบ้าง น่าจะเป็นคำตอบที่ง่ายกว่า แต่ความสามารถขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญหรือความชำนาญหรือเปล่าก็เป็นอีกเรื่องนึง
เราซ่อมมือถือได้ อาจจะไม่ได้แปลว่าซ่อมมือถือเก่ง ทำกับข้าวได้อย่างสองอย่างนั้นสามารถเหมารวมเป็นความสามารถในการทำกับข้าวได้หรือเปล่า หรือก็เป็นเพียงแค่ทำได้ ไม่ได้เรียกว่าเป็นความสามารถแต่อย่างใด รวมถึงทักษะต่างๆ ที่ดูคลิปจากอินเตอร์เน็ตครั้งสองครั้งก็เรียกว่าแค่ทำได้ แต่ไม่ได้อยู่ในระดับที่เรียกเหมารวมว่าเป็นความสามารถของเราได้?
ในช่วงวัยเด็กเราเลยใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการค้นหาว่าตัวเองมีความสามารถอะไร ลองนั่นลองนี่ไปเรื่อย แล้วก็เปลี่ยนไปอะไรหลายๆอย่างตามความสนใจที่ไม่ได้คงทนอะไรตามประสาวัยรุ่น จนเริ่มขึ้นมหาลัยก็เริ่มรู้สึกกลับมากดดันอีกครั้ง ว่าความสามารถพิเศษของเราคืออะไร เพราะมันเริ่มยืดยาวจนสงสัยแล้วว่าเราจะเรียนอะไร โตขึ้นจะทำงานอะไร มันอาจจะกดดันเพราะเรามองข้ามความสามารถธรรมดาทั่วไป แล้วพยายามหาความสามารถพิเศษที่เหนือเสียกว่าความสามารถธรรมดาทั่วไปที่ใครหลายคนมีร่วมกัน
แต่อ้าว ถึงแม้มีความสามารถพิเศษไป มันก็แล้วไงวะ
นั่งย้อนกลับมาคิดถึงตัวเองในวันที่อายุมากขึ้นๆ เราก็ยังทำงานทั่วไปในชีวิตประจำวันด้วยความสามารถระดับทั่วไปได้เหมือนกันนี่หว่า แล้วความสามารถระดับธรรมดาทั่วไปนี่เองก็ไม่ได้ทำให้ทุกข์หรือสุขอะไรมากขึ้นเลยเหมือนที่ถูกคาดหวังเอาไว้ เพราะเริ่มโตขึ้นก็เริ่มเข้าใจว่าทุกข์หรือสุขก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรมากมายกับความสามารถที่ตัวเองมี สุดท้ายก็แค่ความพึงพอใจของตัวเองทั้งนั้น
ทำไมพอโตขึ้นเราถึงเรียนรู้ที่จะปล่อยทีละอย่าง?
หนึ่งคืออาจเพราะเราเหนื่อยจากการเดินทางทำบางสิ่งบางอย่างหรือคาดหวังอะไรบางอย่างมาอย่างยาวนานแล้วมันไม่ถึงหรือเป็นไปตามความคาดหวังของเราเสียที หรือสองคือเราเริ่มตระหนักได้ว่าชีวิตมันก็สามารถเดินไปตามเส้นทางของมันได้เรื่อยๆ โดยไม่จำเป็นต้องถึงจุดที่เราคาดหวัง .. เราอาจไม่ได้ปล่อย แต่เราอาจจะเรียนรู้ที่จะบอกตัวเองว่าชีวิตก็แบบนี้ อะไรจะเป็นไปเดี๋ยวมันก็เป็นไปตามนั้น พบเจออะไรก็แก้ไขเรียนรู้ไประหว่างทาง ทุกอย่างก็ไม่ได้ดีไม่ได้แย่อะไร เป็นจุด checkpoint นึงตามธรรมชาติของการเติบโต
ปีนี้เขียนบล็อกในเว็บส่วนตัวเข้าปีที่ 13
สิ่งที่ทำทุกปีคือจะกลับไปไล่อ่านเรื่องเก่าๆที่เคยเขียนไว้ตามช่วงเวลาต่างๆ แล้วก็ดูว่าตัวเองมีความรู้สึกนึกคิดโตขึ้นกว่าเดิมมากน้อยแค่ไหน ทำไมสิ่งที่เคยคิดว่าถูกในช่วงเวลานึงกลับรู้สึกว่าไม่ได้ถูกเมื่อเวลาผ่านมา มันเหมือนการ revalidate ตัวเองรูปแบบหนึ่ง แล้วก็ช่วยลดความมั่นใจ ลดความทะเยอทะยาน และลดอีโก้แบบเกินเหตุ ให้ได้ถามตัวเองก่อนเสมอว่า หรือว่าที่เราคิดเราทำมันผิดตั้งแต่แรก เพื่อที่จะได้ลองฟังคนอื่นมากขึ้น
แต่ท้ายที่สุดแล้วมันไม่ใช่เรื่องของเรากับใครเลย มันเป็นเรื่องปัจเจกบุคคลที่ผูกพันธ์กับเวลาล้วนๆ เรามัวแต่ใช้เวลาเสาะหาว่าเราเก่งอะไร เรามีความสามารถอะไร แล้วเราก็พยายามเปรียบเทียบสิ่งต่างๆ เหมือนหยิบดินสอเทียบกับดินสอหลายแท่งไปเรื่อยๆ
ค่อนข้างไร้ประโยชน์
คงมีแต่เราในวันนี้ที่ต้องเทียบกับตัวเองในวันวาน
ถามตัวเองว่าทำหน้าที่ของตัวเองดีหรือยัง
ถ้าดีแล้วก็ปล่อยเป็นเรื่องของคนอื่นที่ต้องทำหน้าที่ของเขา มันคงก็ไม่มีอะไรที่ดูดีเกินกว่าดูจริง
ใครทำ..คนนั้นก็ได้ การพัฒนาตนเองมันอาจจะง่ายแบบนั้น