ยุ่งจนไม่ต้องคิดอะไร

สักเดือนที่แล้วผมเจอคำถามนึงที่ตอบได้ไม่ง่ายเท่าไหร่ อะไรคือเรื่องที่หนักใจที่ผ่านมา หรือปัญหาไหนเป็นปัญหาที่ยากในช่วงที่ผ่านมา ก็นั่งนึกไปพักนึงแต่ก็ไม่มีอะไรที่โดดขึ้นมาให้เราอยากจะพูดถึงมันเลยสักเรื่อง นึกไปเจอแต่ปัญหาตลอดเวลา จนไม่รู้ว่าอะไรบ้างที่หนักหรือยากกว่าอะไร รู้สึกเหมือนมันเป็นเรื่องปกติที่จะวิ่งผ่านเข้ามาอยู่กับเราในช่วงเวลานึงแล้วมันก็หายไป จากนั้นก็มีเรื่องใหม่เข้ามาต่อเนื่องกันเรื่อยๆ ทำให้ไม่รู้ หรือไม่มีเวลาจะนั่งคิดเลยว่าที่ผ่านไปแล้วนั่นเป็นเรื่องที่ใหญ่หรือเล็ก รู้แต่ว่าเราแค่ต้องเตรียมตัวให้พร้อมที่จะรับ และแก้ไขเรื่องใหม่ที่จะเข้ามาก็เท่านั้น

ถ้าเอาตามตรง ชีวิตก็ไม่ได้รู้สึกสนุกอะไร โมเมนต์แบบสบายๆ ไปดูหนังฟังเพลง หรือนั่งร้านเหล้ากับเพื่อนก็หายไปหมด เหมือนกับว่าชีวิตวัยรุ่นสมัยก่อนมันหายไปจากเรานานมาก นานจนจำไม่ได้ว่าการไปนั่งฟังเพลงชิลๆ หรือกินข้าวหัวเราะดังลั่นแบบสบายใจมันคือช่วงไหนเวลาใด มันเหมือนกับสมองร่างกายถูกใช้งานควบคู่กันไปตลอดเหมือนวิ่งอยู่บนลู่วิ่ง คาดหวังว่ามันจะถึงช่วงนึงที่เราหยุดพักได้ รู้ว่ามันต้องมี แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่

เมื่อก่อนไม่เคยคิดเลยว่างานจะเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุด และมีแรงโน้มน้าวผลักดันเรามากที่สุดเหมือนที่ติดกับอยู่ทุกวันนี้ ไม่เคยคิดว่ามันจะมีแรงมากพอที่มันจะโน้มน้าวการตัดสินใจทุกเรื่องในชีวิตประจำวันให้อิง และใช้เวลาอยู่กับมันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ บางทีรู้สึกว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของเรื่องบางอย่างที่เราไม่อยากจะเป็น อยากจะทำงานแบบที่มันเป็นแค่งาน หรือเป็นแค่ส่วนนึงในชีวิต แล้วได้ใช้ชีวิตตามวัยเหมือนกับคนส่วนใหญ่ทั่วไป

แต่เราจะโทษใครได้ในเมื่อสิ่งที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้คือผลจากการตัดสินใจที่ผ่านมาในอดีตทั้งนั้น หลายคนเคยบอกว่าให้หยุดบ้างพักบ้าง ไปทำอย่างอื่นบ้าง ก็รู้ดีแก่ใจสติอยู่กับเนื้อกับตัว รู้ดีว่ากำลังทำอะไรพูดอะไร แต่ไม่เคยทำได้เลย ได้แต่คิดว่าเดี๋ยวก็มีช่วงนึงที่ได้หยุดได้พักหลังจากทำงานมานาน แต่ก็อย่างที่บอกว่าไม่รู้ว่ามันคือช่วงไหน

IMG_3683

หรืออย่างนั้น ก็จะไม่เคยมีอย่างที่คนอื่นว่าเอาไว้

การที่รู้สึกว่าไม่รู้จะทำอะไร แล้วไปทำงานดีกว่าบางทีมันก็เป็นเรื่องดี และบางทีมันก็เป็นเรื่องที่ไม่รู้ว่าทำถูกต้องหรือเปล่าเหมือนกัน เราอาจจะเจอเวลาว่าง เวลาส่วนตัวที่เราสามารถหยิบมันไปใช้อย่างอื่นได้เหมือนที่คนทั่วไปทำกัน แต่ก็ไม่รู้ทำไมว่าเราเองเลือกที่จะทำงาน เลือกที่จะไม่เจอผู้คน เลือกที่จะขึ้นไปบนลู่วิ่งแล้วก็วิ่งแบบเดิมซ้ำๆ

บางทีก็เหมือนรู้สึกว่าตัวเองกำลังติดอยู่ใน process นึง และติดมานานพอสมควรแล้ว ยังหาทางที่จะไปทางไหนสักทาง โดยที่ไม่รู้ว่าไปต่อข้างหน้าทางไหนจะเป็นทางที่ช่วยให้ออกจาก process นี้ได้ และก็ไม่รู้ว่าถ้าย้อนกลับไปทางที่เริ่มมาจะเป็นการเสียเวลาทั้งหมดที่เคยทำมาเลยหรือเปล่า เป็นช่วงที่เราไม่มีคำตอบให้กับคนอื่น และที่แย่ไปกว่านั้นคือบางทีเรายังไม่มีคำตอบให้ตัวเองเลยด้วยซ้ำ

นอกจากคำถามที่เขียนไปตอนต้นของบทความแล้ว ยังมีอีกหลายคำถามมากมายที่จนตอนนี้ผมเองยังไม่รู้คำตอบ ทางข้างหน้าจะเป็นยังไง คิดว่าผ่านช่วงที่เป็นปัญหามาหรือยัง หรืออะไรคือสิ่งที่คอยผลักดันเราอยู่เรื่อยๆ ไม่ยอมหยุดมาถึงตรงนี้ แน่ล่ะ.. เราอยากจะมีคำตอบที่แน่นอนไม่กำกวมให้กับทุกคำถาม แต่มันทำไม่ได้

เรายังตอบตัวเองไม่ได้เลยว่าเราอยู่ตรงไหน ยังตอบไม่ได้เลยว่าเราผ่านช่วงเวลาแต่ละอย่างมาแล้วหรือยัง หรือเราผ่านปัญหาที่เราแก้ไขมาแล้วได้แน่หรือ รู้สึกว่าไม่มีอะไรแน่นอนเลยสักอย่าง เราแค่รู้อย่างเดียวว่าแต่ละวันที่ผ่านไปขอแค่ทำในแบบที่ตัวเองทำได้ดีที่สุดแล้วก็พอ ก็แค่ป้องกันไม่ให้ตัวเองเสียใจ และแบกความรู้สึกผิดนั้นไปในอนาคต

ความกังวลมีอยู่เต็มไปหมด และรู้สึกเหมือนมันเป็นเพื่อนคนเดียวที่อยู่กับเราตลอดเวลาตั้งแต่เช้าถึงกลางคืน อย่างที่บอกไป บางทีเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความกังวลที่ว่านั่นมันคืออะไร แต่ทำไมกลับแบกมันอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้ว่าความกังวลที่ว่านั่นเป็นเพื่อนที่หวังดี หรือแค่เพื่อนที่ทำให้เราหนักใจไปวันๆ

แต่ถ้ามองมันเป็นเรื่องแย่มันก็คงเป็นเรื่องแย่เสมอไป

บางทีการที่บางอย่างเอาเวลาส่วนตัวของเราไปจนแทบไม่เหลืออะไรเลย อาจเป็นข้อดีที่ทำให้เราไม่ต้องคิดอะไรฟุ้งซ่านก็เป็นได้ มันเหมือนคนคอยบิดหน้าเราให้กลับมาสนใจงาน และการเติบโตที่อยู่ตรงหน้า แทนที่ว่าจะปล่อยให้เราหันหน้าไปสนใจอย่างอื่นที่อาจจะทำให้เราคิดเรื่องอะไรที่อาจทำร้ายเราได้จากอดีต และในอนาคต

บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ ก็ได้ ที่ช่วยให้เรามีสติไปคิดถึงแต่อะไรที่ต้องทำ แต่มันก็อาจทำให้เราเก็บไปนึกถึง หรือทำร้ายเราตอนที่เรานอนไม่รู้สึกตัวก็เป็นได้

แชร์บทความนี้

    แสดงความเห็นของคุณที่นี่

    กรุณากรอกอีเมล์ของคุณก่อนส่งข้อมูล เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีคนมาตอบข้อความของคุณ