คนเราใช้เวลามากกับสิ่งไหน ย่อมเป็นคนแบบนั้น

You become what you believe – Oprah Winfrey

เคยมีผู้ใหญ่แนะนำเรื่องทำธุรกิจว่า “ถ้าอยากได้เงิน ก็ไปอยู่ใกล้เงิน ไปทำอาชีพเป็นหมอ เป็นนักกฏหมาย หรือนักบัญชี หรือเรียนเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์” ทำนองเดียวกับ อยากเจอคนแบบไหน ให้พาตัวเองไปที่แบบนั้น อยากเก่งขึ้นให้ไปอยู่ท่ามกลางคนเก่ง อยากขยันต้องไปอยู่กับคนที่อดทนทำงานไม่หยุดหย่อน เราจะปรับตัวเองจากสภาพแวดล้อมทางสังคมเอง

หลายคนมองว่าการทำงานแบบเดิมซ้ำๆ หรือกิจกรรมที่เป็น routine นั้นมีแต่ความน่าเบื่อ เหมือนเราตื่นเช้าเวลาเดิมทุกวัน 8 โมง ชงกาแฟด้วยปริมาณ 2 ช้อนชา อ่านหนังสือพิมพ์ทุกเช้าครึ่งชั่วโมง ออกกำลังกายวันละ 15 นาที แต่รู้ไหมครับสิ่งเหล่านั้นไม่ได้สูญเปล่า

ร่างกายของเราปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้สังเกตุก็ตาม การตื่นตรงเวลาทุกวันช่วยให้ร่างกายคุ้นชินกับจังหวะเวลารอบวัน ทำให้เราง่วงเมื่อถึงเวลา และรู้สึกตัวตื่นได้เองในตอนเช้า การรับคาเฟอีนในปริมาณเท่าๆกันทุกวันจะช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างเหมาะสม ไม่รู้สึกง่วง เมื่อยล้า หรือใจเต้นเร็วเกินไป และจะใช้เวลาในการขจัดคาเฟอีนออกจากร่างกายได้พอกันในแต่ละวัน

การอ่านหนังสือพิมพ์ทุกเช้า นอกจากจะช่วยให้เราทันข่าว มีความรู้รอบตัวในเรื่องต่างๆ นอกจากนั้นยังฝึกและพัฒนาการอ่าน การจับใจความได้เร็วและละเอียดขึ้น เช่นเดียวกับการออกกำลังกายที่จะได้ประโยชน์กับร่างกาย เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และความรู้สึกดีจากสารเอ็นโดรฟินที่หลั่งออกมาจากสมอง

เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงดาว

ทุกการกระทำ ทุกการตัดสินใจย่อมส่งผลถึงกันในอนาคต ดังพระท่านว่า “เรื่องบังเอิญนั้นไม่มี ผลย่อมเกิดจากเหตุ” คนเราอยากเป็นอะไร ก็มักจะตัดสินใจกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งๆนั้น และก็ต้องรับสิ่งที่จะตามมาด้วยเช่นเดียวกัน

คนอยากได้อยากมี ก็จะขยันขวนขวาย ทำงานบากบั่นไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อลาภยศเงินทอง ทำให้เจอเพื่อนน้อยลง ไม่มีเวลาไปหาความสุขพักผ่อนหย่อนใจ มันก็เป็นเรื่องปกติเพราะเราตัดสินใจด้วยตัวเองกันทั้งนั้น

ยิ่งเราใช้เวลาหมดไปเท่าไหร่กับเรื่องๆนึง เราก็ยิ่งเป็นคนแบบนั้นมากขึ้น

เวลาส่วนใหญ่ใช้อ่านหนังสือ หมดไปกับการหาข้อมูลหาความรู้ก็จะทำให้เราเป็นผู้รอบรู้มากขึ้น เวลาส่วนใหญ่ใช้ฝึกเล่นดนตรี ทำให้เราเข้าใจตัวโน้ต จังหวะของเพลง และทำให้เราเล่นได้เก่งขึ้น หรือเวลาส่วนใหญ่ใช้ไปกับการดูละคร สังสรรค์ ดื่มปาร์ตี้เฮฮา ก็ทำให้เรามีสังคมมากขึ้น

เราเป็นในแบบที่เรากระทำกันอยู่แล้วทุกวันนี้ ผู้ใหญ่หลายคนก็บอกคนรุ่นหลังมานักต่อนักว่า เดี๋ยวโตขึ้นก็รู้เอง เดี๋ยวโตขึ้นก็เข้าใจ เพราะเขาไม่มีโอกาสได้ย้อนกลับไปบอกตัวเองในวันวานว่าให้ขยันทำงาน ให้ขยันหาความรู้โตขึ้นจะได้ดีกว่าที่เป็นอยู่ เหมือนพ่อแม่ที่คะยั้นคะยอพร่ำสอนลูกหลานอยู่ทุกวี่วัน แต่ก็อย่างว่า ช่วงเวลาของเด็ก

ไม่รู้ไม่เข้าใจ ไม่เห็นก็ไม่จำ ดังไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา

บางทีก็รู้สึกตลก และแปลกใจในคราวเดียวกัน เวลาที่ตัวเองเขียนเรื่องการใช้ชีวิตเพื่อเตือนตัวเองในวันข้างหน้า ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันเป็นเรื่องปกติของคนอายุเข้าใกล้เลขสามหรือเปล่า แต่ช่วงเวลา 9 ปีที่เขียนบล็อกมา ย้อนกลับไปอ่านบทความเก่าๆช่วงปีสองปีแรกที่เริ่มเขียนก็ทำให้รู้เลยว่าตัวเองเปลี่ยนวิธีการเขียนไปมาก

คนเราทุกคนก็เปลี่ยนไปกันทั้งนั้น เปลี่ยนไปเพราะการดำเนินชีวิต เพราะจุดหมายที่เราอยากจะเข้าใกล้ อยากจะได้มา หลายคนล้มเลิกลงกลางคัน ทั้งที่ทำหลายสิ่งหลายอย่างมาตั้งนาน.. อะไรที่ได้มากง่าย ก็มักไม่เห็นค่า อะไรที่ได้มายากเกินไป บางทีก็อาจทำให้ผู้ใฝ่หาล้มเลิกความตั้งใจได้

There is no good in anything until it is finished

“ในทุกๆอย่างนั้นมันก็ไม่มีอะไรดีหรอก ตราบใดที่มันยังไม่สิ้นสุด”
เจงกิส ข่าน กล่าวเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว

แชร์บทความนี้

ความคิดเห็นเกี่ยวกับ คนเราใช้เวลามากกับสิ่งไหน ย่อมเป็นคนแบบนั้น

  1. สวัสดีครับพี่ป๊อป,

    ผมชอบบทความนี้มากเลย อ่านแล้วสะท้อนเข้าตัวผมได้อย่างตรงจุดมาก

    “ทำอะไรบ่อย ก็จะเป็นโปรด้านนั้น” ไม่ว่าจะเป็นในด้านดีหรือด้านร้าย

    ผมจะปรับปรุงตัวไปในทางที่ดีขึ้นนะพี่. ขอบคุณบทความนี้ และรักษาสุขภาพนะครับ ^^

แสดงความเห็นของคุณที่นี่

กรุณากรอกอีเมล์ของคุณก่อนส่งข้อมูล เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีคนมาตอบข้อความของคุณ