ชีวิตคนเรานั้นสั้น และสำคัญเกินกว่าที่ต้องทำงาน routine ไปตลอดชีวิต
จริงๆ ผมอยากเขียนเรื่องของ productivity กับงาน routine มาตั้งแต่เตือนเดือนแล้ว แต่ทุกช่วงต้นปีงานมักจะเยอะกว่าช่วงอื่นในรอบปี ประกอบกับช่วงนี้มีความตั้งใจจะเขียนบทความใหม่ขึ้นที่จินดาธีมทุกอาทิตย์ด้วยเหมือนกัน เลยทำให้ต้องเว้นช่วงในการเขียนบล็อกส่วนตัวนานขึ้นมาหน่อย หลักๆ คือต้องไปหาข้อมูลมาประกอบกับการเขียนในแต่ละบทความด้วยเหมือนกัน
คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเขียนเรื่อง productivity ไปนานมากแล้ว เลยย้อนกลับไปดูก็พบบทความที่ถูกเขียนขึ้นประมาณ 3 ปีก่อน (ว่ากันเรื่องของ Productivity) ซึ่งก็เหมือนกับการบ่นปนทิ้งคำถามมากกว่าจะให้คำตอบอะไรกับผู้อ่าน อาจจะมีแนะนำเครื่องมือเล็กน้อย ตอนนี้กลับมานั่งคิดดูแล้วพบว่า
พวกเครื่องมือพวกนี้เนี่ยมันอาจจะไม่ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงอะไรมาก หรือมันส่งผลแค่ระยะสั้นนะ ความเป็นจริงมันควรจะเป็นเรื่องของ mindset มากกว่าหรือเปล่าที่จะช่วยให้เราสามารถพัฒนาขึ้นมาได้จากเดิมที่เคยเป็น ผมเคยได้ยินภาษิตโบราณของฝรั่งประโยคนึงบอกไว้ว่า
การย่ำอยู่กับที่ ต่างกับขุดหลุมฝังศพตัวเองที่ความลึกเท่านั้น
ฟังแล้วก็อดนึกต่อไม่ได้ว่า หากทำงาน routine ตลอดทุกวันไปเรื่อยๆ เป็นเวลาหลายปีนี่จะส่งผลกระทบต่อ mindset ในการเปลี่ยนแปลงมากขนาดไหน ในช่วงชีวิตของการทำงาน ผมค่อนข้างมั่นใจว่าหลายๆ คนมักจะได้ยินคำว่า comfort zone หลายครั้งเหมือนกัน
ซึ่งแต่ละคนก็มีหลายเหตุผลสนับสนุนความคิดตัวเองให้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงที่จะ อยู่ หรือ ไปจาก comfort zone เหล่านั้น แต่เราจะรู้ได้ยังไงว่า comfort zone นั้นปลอดภัยไร้ความเสี่ยง เมื่อเทคโนโลยีดีขึ้น หลายองค์กรต้องการ disrupt และลงทุนในเรื่องของหุ่นยนต์มาใช้งานมากขึ้นตามลำดับ ลองนึกถึงว่าคุณเป็นเจ้าของกิจการดูก็ได้ครับ แล้วให้นึกปัญหาเรื่องคนนั้นมีอะไรบ้าง รวมถึงสวัสดิการ และบริบทข้อกฏหมายที่ต้องทำตามมากมายขนาดไหน
เงินเดือนของคนปรับขึ้นตามเงินเฟ้อ กฏหมายแรงงาน ค่าจ้างขั้นต่ำ พวกนี้ขึ้นทุกปี แต่กลับกันเทคโนโลยีเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มีราคาถูกลง ในระยะยาวแล้วองค์กรประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าเห็นๆ
แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าตัวเองมี productivity ในการทำงานมากน้อยขนาดไหน
ส่วนใหญ่หากจะวัด productivity นั้น เรามักจะดูที่ output หรือผลลัพธ์ที่ได้เป็นหลัก เช่นหนึ่งวันในโรงงาน พนักงานสามารถประกอบสินค้าออกมาได้เฉลี่ยอยู่ที่คนละ 20 ชิ้น คนไหนที่ทำได้น้อยกว่าเกณฑ์แบบห่างมาก ก็อาจจะแสดงให้เห็นว่าตัวเองมี productivity น้อย หรือธุรกิจบริการที่นับเป็นจำนวนเคสการให้บริการในแต่ละเดือน แต่ก็ต้องดูนโยบายขององค์กรควบคู่ไปด้วยว่าองค์กรนั้นให้ความสำคัญกับเรื่องคุณภาพ หรือปริมาณมากกว่ากัน
ผมมองว่า output ที่ได้จากการทำงานให้องค์กรมันคือปัจจัยภายนอกครับ ถ้าเราแข่งกับปัจจัยภายนอกอยู่เสมอ เราจะเหนื่อยเท่าเดิม หรือเหนื่อยมากขึ้น(เมื่อค่าเฉลี่ยมีการปรับฐาน) แต่ถ้าเราเปลี่ยนความคิดของตัวเองอย่างวิธีการดำเนินงาน การใช้ชีวิต หรืออุปนิสัย เราจะพยายามมองหาข้อจำกัดของตัวเอง แล้วคิดหาวิธีอื่นๆ ที่สร้างสรรค์เพื่อข้ามข้อจำกัดนั้นให้ได้
เช่นถ้าคุณบอกว่า ปัจจุบันในหนึ่งเดือนคุณสามารถทำงานได้ 2 โครงการ ซึ่งคุณอยากจะรับงานให้ได้มากขึ้น เพื่อให้มีรายได้ที่มากขึ้นกว่านี้ เมื่อเวลาของคุณคือข้อจำกัด คุณก็อาจจะบอกว่างั้นพักผ่อนน้อยลงไหม ลดเวลาทานข้าว เวลาที่อยู่กับครอบครัว หรือตัดเวลาออกกำลังกายไปเพื่อมาชดเชยให้มีเวลาทำงานมากขึ้น ก็ทำได้ แต่มันจะทำได้ไปถึงเมื่อไหร่กัน
แต่ถ้าลองนึกคิดเปลี่ยนวิธีในการทำงาน สร้างแม่แบบ, ทางลัด หรือ framework หรือกระจายงานที่ไม่สำคัญ หรือเป็นงาน routine ออกไปให้คนอื่นที่รับจ้างทำ มันก็อาจจะเป็นวิธีที่ดีกว่า แล้วก็ยังสามารถใช้ชีวิตส่วนตัวได้ตามปรกติด้วย
นกที่ตื่นเช้า มักได้หนอนที่ตัวใหญ่กว่าเสมอ จริงหรือ?
ผมว่าแต่ละคนมีวิธีการบริหารจัดการเวลาที่ต่างกัน บางคนชอบทำงานกลางคืน บางคนรู้ตัวว่าทำงานได้ดีในสภาพแวดล้อมแบบใด งั้นการตื่นเช้าขึ้นสำหรับบางคนก็ไม่ได้แปลว่าจะช่วยให้ทำงานได้ดีขึ้นหรือเปล่า? มันไม่จำเป็นที่คนเราจะต้องใช้นาฬิกาชีวิตเดียวกันไปหมดเหมือนกับดอกทานตะวันที่หันไปทางทิศตะวันออกทุกเช้าเสมอหนิครับ
มันขึ้นอยู่กับว่า เรารู้ตัวเราเองหรือเปล่าว่าช่วงไหนที่เป็นช่วงที่มี productivity มากที่สุดของวัน แล้วจะใช้ช่วงเวลานั้นสร้าง output ออกมาได้ดีมากน้อยแค่ไหน แน่นอนว่า เราคงไม่อยากใช้ช่วงที่ productive ที่สุดของเราเพื่อทำงาน routine ใช่ไหมล่ะ
ผมเองก็เหมือนกัน รู้สึกว่าทำงานได้ดีในช่วงประมาณ แปดถึงสิบโมงเช้าพร้อมกับกาแฟแก้วแรก สมองจะปลอดโปร่งเหมาะที่จะนั่งคิด หรืออ่านอะไรเพื่อวางแผนงานที่จะทำในวันๆ นั้น แล้วก็จะไปทำงานได้ดีอีกครั้งช่วงค่ำถึงดึก เป็นช่วงเวลาที่เงียบ ไม่มีการรบกวนจากโทรศัพท์ อีเมล์ และพวกข้อความต่างๆ เหมือนช่วงเวลากลางวัน ส่วนเวลานอกเหนือจากนั้นก็ทำงานที่ต้องทำตามปรกติ
เมื่อก่อนก็คิดอยู่เหมือนกันว่าจะทำยังไงให้ทำงานได้มากขึ้น (เพราะเป็นฟรีแลนซ์ถ้ารับงานเยอะขึ้น หมายถึงรายได้มากขึ้นตามไปด้วย) เปลี่ยนเวลานอนไหม เปลี่ยนเครื่องมือใหม่อีกทีดีหรือเปล่า หาข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานของสมอง ลองหาวิตามินเสริม หาวิธีลดคอร์ติซอล ฯลฯ เหมือนตัวเองแก้สิ่งต่างๆ ที่ปลายเหตุ ไม่ได้มองย้อนกลับมาถึงต้นเหตุเลยด้วยซ้ำ
จนเริ่มอ่านหนังสือจริงจัง สังเกตวิธีที่คนประสบความสำเร็จระดับโลกใช้กัน หาบทความเกี่ยวกับการพัฒนาตัวเองอ่านมากขึ้น ท้ายที่สุดกลับพบว่าบางทีการเปลี่ยนความคิดง่ายๆ อาจจะส่งผลกับการทำงานได้อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น
- แบ่งงานออกเป็นรายการย่อยๆ – การจัดลำดับความสำคัญของงาน
- ตั้งเป้าหมายสิ่งที่ต้องทำในวันรุ่งขึ้น ตั้งรายการที่คิดว่าทำจบได้ในวันๆ นั้น
- เลือกเวลาในการอ่านอีเมล์ ข้อความต่างๆ เช่นวันละ 2-3 ครั้ง เช้า หรือเย็น
- แบ่งเวลาทำงานออกเป็นช่วงๆ 40-10-10 หรือ 50-10 (ตามเทคนิค Pomodoro)
แม้กระทั่งเทคนิคอื่นๆ อย่าง think week ของ Bill Gates ที่หยุดงานไปหาเวลาอ่านหนังสือ ใช้ความคิด หรือทฤษฎี flow ของ Mihaly นักจิตวิทยาชาวโคเอเชียที่บอกว่าเมื่อเข้าสภาวะการทำงานแบบ flow ทุกอย่างจะไหลลื่นราวกับว่าตัวเองเพลิดเพลินลืมวันเวลา และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งงานที่ทำนั้นจะต้องมีความท้าทาย และเราเองก็มีทักษะมากพอที่ได้ทำงานนั้น
หรือจะใช้พวก habit tracker อย่างแอพฯ Done (ผมรู้จักมาจาก podcast ของคุณรวิศ ในรายการ Mission to the moon) ก็ช่วยเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยบางอย่างได้เมื่อทำติดต่อกันไปสักระยะ ซึ่งพื้นฐานของสิ่งที่กล่าวมาหลายอย่างมักจะขึ้นอยู่กับ ระบบการให้รางวัลของสมอง เมื่อทำอะไรสำเร็จตามสิ่งที่มุ่งหวังก็จะเกิดแรงเสริมให้อยากทำอีก อยากทำมากขึ้น และสมองก็จะหลั่งโดพามีนออกมาตามกลไก
ท้ายที่สุดเราควรนึกถึงความพอดีด้วย ผมเห็นบางคนค่อนข้างเข้มงวดกับการใช้ชีวิตมากๆ อย่างตั้งเป้าหมายว่าวันนี้จะต้องเป็นแบบนี้ ได้อย่างนี้ ไม่ยืดหยุ่น และมีความคาดหวังมากจนเกินไป หลายอย่างที่ไม่เป็นตามหวัง ก็จะผิดหวัง เกิดความเครียด สุดท้ายคอร์ติซอลก็จะหลั่งออกมามาก ส่งผลให้นอนไม่หลับ กังวล มีสมาธิน้อยลง แล้วก็จะทำงานไม่ได้อย่างที่ควรจะเป็น
สิ่งที่วิเศษ และหายากยิ่งกว่าพรสวรรค์ คือพรสวรรค์ที่มองเห็นผู้มีพรสวรรค์ – Elbert hubbard
ผมเป็นมาหมดแล้วนะ อ่อ สวัสดีครับ ตามอ่านงานคุณมาได้ 2-3 งานแล้ว เปิดหัวเรื่องนกตื่นเช้าน่าสนใจดีครับ เลยตามมาอ่านฉบับเต้มแล้วพบว่า น่าจะลองเขียนแชร์แบบเล่าสู่ให้กันฟังดูเนาะ อย่างแรกเลย การทนทำงานที่ไม่ชอบมา 10 ปี ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ชอบอีกนั่นแหละ แบบสุดๆ นั่นแหละที่ผมเคยทำ บางครั้งมันไม่ใช่เรื่อง comfort zone หรือเงิน เพราะเงินที่ได้น้อยมาก แต่มันคือข้อจำกัดของชีวิตในช่วงเวลานั้นๆ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงออกมาจากตรงนั้นไม่ได้สักที บางครั้งโอกาสผ่านมาใกล้เหลือเกิน แล้วมันก็หลุดไปอีก
ในตอนนั้น คือเมื่อราว 10 กว่าปีก่อนอ่ะนะ ผมคิดอย่างเดียวเลย ต้องวิ่งหาโอกาสอีก เรายังพยายามไม่มากพอ น่าแปลก ในขณะที่ทำงานที่ไม่ต้องใช้สมอง ทำแบบออโตเมติก อีกส่วนหนึ่ง ผมกลับพบสกิลใหม่ที่เกิดขึ้นมา นั่นคือการเขียน ผมเริ่มเขียนเรื่องสั้นลงในเพจอย่างบ้าคลั่ง เขียนเพราะมีคนตาม เพราะสนุก เขียนทุกวัน วันละ 2-3 เรื่อง เขียนแบบนั้นมา 2 ปี
อย่างหนึ่งที่จริงที่สุดนะ ถ้าเราทำอะไรซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง ผมว่ามันจะเห็นผล งานของผมมันเริ่มออกเดินทางไปได้รางวัล ไปรวมเล่มกับสำนักพิมพ์ เป็นใบเบิกทางให้ผมได้ทำงานใหม่ๆ อย่างเขียนบทโทรทัศน์ ในขณะเดียวกันผมก็ใช้เวลาที่ว่างโคตร ทำหนังสั้นด้วย และมันก็ไปได้ดีเหมือนงานเขียน พอรู้ตัวอีกที พอร์ทกับรางวัลก็เต็มไปหมด แล้ววันหนึ่งงานที่ผมอยากทำก็เปิดรับคนพอดี และผมก็ได้งานนั้นมา วันที่ผมเดินออกมาจากที่ทำงานเก่าผมรู้สึก..โคตรฟิน
คุณรู้มั้ย ผมทำงานใหม่ได้แค่ 2 เดือน ก็โดนเท พนักงานถูกปลดหมด ผมยังไม่ได้บรรจุเลย 5555
ชีวิตก็แบบนี้ แต่ผมไม่เคยเครียด เพราะผมไม่เคยมีเป้าหมายในชีวิต จริงๆ นะ ผมมองไม่เห็นภาพตัวเองตอนอายุ 40 เลย
ผมว่า ผมตายก่อนแน่ ไม่เคยมีเงินเก็บ ได้รางวัลมาบางทีหลักแสน ก็เอาไปปิดร้านเลี้ยงเพื่อน
จนหลังสุดนี่ ผมได้มาทำอยู่บริษัทมหาชนที่หนึ่ง เงินดีมาก งานสบายโคตร คือไม่มีงานให้ทำ รู้สึกเหมือนไปนั่งเล่นคอม แล้วรับเงินเดือน โห โคตรสบาย แต่รู้สึกว่าตัวเองโคตรขี้เกียจ หมดไฟ ไร้ค่า ตอนนี้ก็เลยลาออกมาทำอะไรของตัวเอง พอเรามีเป้าหมายแล้ว เรารู้ว่าเราจะทำอะไร เพื่อใคร เราจะไม่กลัวอะไรเลย ตอนนี้ผมสนุกกับงานที่ทำมาก กำลัง flow นั่นแหละ มากไป วันนึงนอนแค่ 2 ชม. เอาไว้คืบยังไงจะมาบ่นอีกทีนะครับ
อ่อ ผมสนใจอ่านงานคุณ เพราะเคยอ่านเจอว่าคุณเป็นโปรแกรมเมอร์ แต่อยากเขียนอะไรลงบล็อคนี่แหละ
ผมว่ามันเจ๋งดี เขียนต่อนะครับ จะตามอ่านเรื่อยๆ :)
สวัสดีครับ ขอบคุณที่เข้ามาทักทายกันครับ
ความรู้สึกเหมือนกันเลยครับ พอตอนไปอยู่บริษัทใหญ่ทำงานสบาย ได้เงินดี รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า อาจจะเพราะไม่ค่อยมีอะไรให้ทำมาก หรือรู้สึกว่ามีอะไรมา challenge
แต่ผมอ่านแล้วรู้สึกชอบครับ อ่านความเห็นของคนมีใจมีไฟ มันช่วยผลักดันตัวเองดี ขอบคุณมากๆ เลยครับที่แวะเข้ามาอ่าน แล้วแชร์ความเห็นกลับมาให้อ่านเหมือนกันครับ