ผมนอนไม่ค่อยหลับมาหลายวันละ
ถึงจะหลับก็ฝันแต่อะไรไม่เป็นเรื่อง ประเดี๋ยวก็ตื่นมากลางดึก รู้สึกตัวบ่อยครั้งจนทำให้ตอนเช้าที่ต้องตื่นขึ้นมาจริงๆ เนี่ยตื่นยากมาก การพักผ่อนถูกขัดจังหวะเป็นช่วงๆ ทำให้ร่างกายไม่สดชื่น ไหนจะปวดคอ ปวดหลัง มีปัญหากับทางเดินอาหาร จนบางทีก็คิดไปว่า จริงๆ แล้วมันไม่ได้เป็นอะไรหรอก แค่สมองมันคิดนั่นคิดนี่ว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วร่างกายมันก็เชื่อเลยส่งผลมาอย่างนั้น
หรือความจริงแล้ว ร่างกายมันอาจจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ?
ผมไม่เคยแน่ใจเลยว่าความเป็นจริงแล้ว ร่างกายเราสามารถรองรับความเหน็ดเหนื่อยได้มากแค่ไหน หรือความรู้สึกสามารถรับแรงกดดันจากสภาวะ และสิ่งแวดล้อมได้มากขนาดไหน เพราะคิดเสมอว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ แต่รู้สึกได้
มีคนเคยบอกว่า จะรู้ลิมิตความเร็วของรถที่ขับได้ ก็ต้องเหยียบคันเร่งให้สุด
ประเด็นคือเราไม่เคยรู้เลยว่าร่างกาย หรือความรู้สึกของคนเรามีลิมิตอยู่ที่ตรงไหน เพราะทุกครั้งที่คิดว่ามันอาจจะมาถึงจุดสูงสุดของสภาพร่างกาย และอารมณ์แล้ว มันจะมีอีกความคิดนึงแทรกเข้ามาเสมอว่าให้ทนไปอีกนิด เผื่อบางทีเราอาจจะรับอะไรได้มากกว่านี้ก็ได้ หรือตรรกเดิมๆ ที่บอกว่า พอเรื่องวันนี้ผ่านไป เราจะมองกลับมาดูมันก็เหมือนกับเรื่องเล็กนิดเดียว.. จนบางทีกลับไม่รู้ และตอบคำถามข้อนึงไม่ได้แล้วว่า จุดที่เหนื่อยที่สุดที่เคยผ่านมา หรือจุดที่แย่ที่สุดที่เคยผ่านมาอยู่ตรงไหน มันคือโมเม้นท์ไหนในชีวิต
ผมคิดว่าตัวเอง และคนอื่นๆ คงไม่มานั่งพล็อตกราฟความรู้สึกที่สามารถบอกได้ว่า อ๋อ นี่แหละคือจุดต่ำสุด หรือนี่แหละคือจุดสูงที่สุดที่ความรู้สึกสามารถรับรู้ได้ในขณะนั้น.. มันคงเป็นไปไม่ได้ ความรู้สึกเป็นข้อมูลเชิงอารมณ์ ไม่ใช่ตัวเลขที่สามารถดึงขึ้นมาจากส่วนใดๆ ของสมองแล้วบอกคนอื่นได้ว่า เรื่องที่เหนื่อยที่สุดคือเรื่องไหน หรือเรื่องที่หนักที่สุดคือเรื่องไหน มันคงได้ให้แค่การประมาณการณ์แค่นั้น
บางเรื่องที่เราอาจจะคิดว่ามันหนักหนาสาหัสมาก พอหลับตานอนตื่นเช้ามาอาจจะกลายเป็นเรื่องที่ไม่ได้หนักเท่าที่คิดเมื่อวานก็ได้ เมื่อคืนก่อนนอนสมองอาจจะถูกใช้งานอย่างหนักมาทั้งวัน จนมันรู้สึกคิดอะไรไม่ออก ไอ้นั่นก็เหนื่อย ไอ้นี่ก็แย่ โอ้ยอะไรมันจะเจ็บปวดเยอะแยะขนาดนั้น แต่เมื่อได้พัก เรื่องต่างๆ ก็ดูดีขึ้น พอตกเย็นสมองเริ่มล้าความรู้สึกนั้นก็กลับมาอีก เข้าลูปอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนหมดวันแล้ววันเล่า ท้ายที่สุดเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนทำให้ผ่านเรื่องนั้นมาได้แบบไม่คิดว่ามันจะมาถึงจุดนี้ได้
หรือความจริง(อีกละ) เรื่องทุกอย่างมันอาจจะง่ายมากก็ได้
ร่างกาย เราอาจจะแสดงอาการบางอย่างออกมาเพราะ “มันเป็นแบบนั้นจริงๆ” ไอ้ความรู้สึกที่เราชอบตีโพยตีพายไปว่าเราเองที่คิดมากมันเลยเป็นแบบนั้น ไม่น่าจะมีน้ำหนักให้น่าเชื่อถืออะไร ร่างกายมันอาจจะเป็นสิ่งที่ตรงไปตรงมามากกว่าสมอง ที่ชอบคิดนั่นคิดนี่ จำลองแบบนั้นแบบนี้ และชอบสร้างชอบเชื่อสิ่งที่ไม่เป็นความจริงไว้หลอกความรู้สึกตัวเองไปวันๆ
ผมอาจจะตื่นเช้ามาแล้วนั่งลบบทความที่เขียนนี้ทิ้งก็ได้
แน่ล่ะ มันอาจจะเป็นช่วงที่เหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน การเรียน ประกอบกับเรื่องทั่วไปทำให้สมองที่ถูกใช้งานมาทั้งวันอาจจะทำอะไรห่ามๆ เพื่อรีเฟรชตัวเอง พอได้พักผ่อนสักหน่อยตื่นขึ้นมาก็คิดว่าเรื่องของเมื่อวานมันก็เรื่องเล็ก เดี๋ยววันนี้ก็คงจัดการให้มันผ่านไปได้อย่างไม่น่ามีปัญหาอะไร.. นี่สมองมันกำลังเล่นอะไรวะ มันกำลังสร้างภาพลวงตาเพื่อหลอกตัวเองหรืออะไรกัน
มองอีกมุม แท้จริงแล้วมันอาจจะเป็นเรื่องที่สนุกมากเลยก็ได้นะ มีความท้าทายเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจจะได้รู้ลิมิตตัวเองเข้าสักวัน แต่กลับมาอีกด้าน มันก็เหมือนตัวเองไม่ต่างจากหนูที่วิ่งอยู่ในวงล้อ ทุกอย่างมันเหมือนกลับเข้ามาในลูป เห็นภาพนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในทุกๆ คืน
มีเพื่อนหลายคนเคยทักว่า ผมเองชอบคิดมากเกินไป ไม่รู้ว่ามันดูจากอะไร การแสดงออก หรือว่าการที่ได้อ่านสิ่งที่เขียน ก็เลยกลัวว่าจะไปทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ ถามมาตลอดว่า โอเคมั้ย เป็นอะไรหรือเปล่า คือบางทีก็เบื่อคำถามพวกนี้เหมือนกัน เพราะจริงๆ แล้วตัวเองก็ไม่ได้คิดอะไรในเชิงลบเลย แค่บางทีชอบตั้งคำถาม แล้วก็อยากหาคำตอบมันก็แค่นั้น.. ความรู้สึกมันก็เหมือนสี มีหลายเฉด
ความเหน็ดเหนื่อย และความเครียดไม่เคยทำให้เรากลายเป็นสีดำ มันแค่ทำให้เราหลงใหลอยู่กับการตั้งคำถามเหมือนการมองภาพงานศิลปะเป็นร้อยๆ ที่มีอยู่ในหอศิลป์ บางภาพเราไม่เข้าใจความหมายของมันเลย แต่เราก็หยุดยืนดูอยู่ที่ภาพนั้นนานมาก.. ไม่หรอก จริงๆ เราไม่ได้อยากจะหาคำตอบว่าภาพนั้นหมายถึงอะไร
เราอาจจะแค่ชอบที่รู้สึกแบบนั้น เหมือนกับสีน้ำเงินอมม่วงที่มันมีความลับของมันไง
Feel same here. Thanks for sharing.