เที่ยวโฮจิมินห์แบบฉบับคนขี้เกียจ

กินดื่ม 4 วัน 3 คืนที่ Ho Chi Minh City

ปีนี้เป็นปีที่สองที่ JindaTheme เริ่มทำงานกันอย่างจริงจัง แล้วก็คิดกันไว้แล้วว่าถึงเวลาที่จะต้องไป company trip กันเสียทีหลังจากที่ผม และหุ้นส่วนทำงานติดต่อกันมาอย่างหนักหน่วง ตอนแรกก็แพลนว่าจะเที่ยวแค่ในประเทศนี่แหละครับ เกาะกูดบ้าง ระนองบ้าง หัวหินบ้าง แต่ถ้าในประเทศคือผมเองก็เที่ยวบ่อย อีกอย่างคือมือถือก็ยังติดต่อได้ จะไปเที่ยวหรือทำงานแบบเงียบๆ ทั้งทีก็อยากจะอยู่แบบไม่ต้องมีเสียงโทรศัพท์มารบกวน เลยแจ้งลูกค้าว่าจะติดต่อไม่ได้ ไปเที่ยวโฮจิมินห์สัก 3 คืน

หาที่พักบน Booking.com และจองตั๋วเครื่องบินของ Airasia ไปกลับเรียบร้อยก่อนวันเดินทางจริง 2 อาทิตย์ ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ราวๆ 15k สำหรับค่าห้อง และตั๋วไปกลับคนละ 7k โดยประมาณ.. อย่างว่าครับ ไม่ได้ไปเที่ยวกันบ่อยๆ ตอนทำงานก็ทำงานหนัก เต็มที่กับงานที่ถือ ผมเลยมองว่าเวลาไปเที่ยวก็อยากจะสบายแบบเต็มที่ ไม่ต้องไปเที่ยวแล้วรู้สึกว่าต้องไปที่โน่นที่นั่นให้เหนื่อย แค่นอนตื่นสาย กินเบียร์ ไปหาที่นั่งชิว ฯลฯ พอละ

เห้ย แต่เราไม่ได้ไปกันแบบไม่รู้อะไรเลยนะ ผมกับหุ้นส่วนใช้เวลากันราวๆ อาทิตย์นึงเพื่อหาข้อมูลจากหลายๆ เว็บ ว่าจะหาของกินที่ไหน บาร์ไหนเจ๋ง อะไรคนแนะนำ อะไรไม่ควรทำ เลยสุดท้ายเก็บมาเป็นลิสต์เผื่อคนที่จะไป จะได้ไม่ต้องไปหาข้อมูลหลายเว็บให้เสียเวลา ทีหลังเวลาผมจะไปกันเองอีกรอบจะได้ไม่เสียเรื่องที่ไม่ควรเสียเหมือนครั้งแรก

วันเดินทางคือวันที่ 10 – 13 พ.ค. ออกจากดอนเมืองก็ประมาณบ่าย 2 โมง ถึงโฮจิมินห์ เอากระเป๋าเสร็จก็ประมาณ 4 โมง เริ่มแรกที่ทำตอนอยู่สนามบินเลยคือเดินเข้าไปซื้อ sim card เพื่อที่จะได้มีเน็ตในการใช้ Google Maps บนมือถือ แล้วก็ติดต่อกันเองเวลาอยู่ข้างนอก หรือหลง(ซึ่งจริงๆ แม่งก็ไม่เกิดเคสนี้หรอก แต่หลักๆ คือซื้อไว้ใช้ Maps เวลาขึ้นรถ หรือเดินหาที่ที่จะไป) ที่น่าแปลกใจสำหรับประเทศเวียดนามอย่างนึงเลยคือ นักท่องเที่ยวส่วนมากมักจะเชื่อ TripAdvisor คือมันเป็น power of social เลยก็ว่าได้ อะไรที่คนรีวิวในนี้ว่าร้านนี้ดี หรือควรจะทำแบบนี้เพราะมันดี ได้คะแนนรีวิวเยอะอย่างนั้นอย่างนี้ นักท่องเที่ยวก็จะทำแบบนั้นตามๆ กันไปเลย ยิ่งพวกร้านข้างนอกเนี่ย มีป้าย TripAdvisor แปะหราอยู่เกือบทุกหน้าร้านเลยล่ะครับ

xinchao-hochiminh

ซื้อ Sim card ถ้าไม่เคยมา

คือร้านขาย Sim card ที่สนามบินจะมีแค่ 2 เจ้าติดกัน เจ้านึงขาย Viettel กับอีกเจ้าขาย Vinaphone ซึ่งราคาแพคเกจมันก็ไม่ได้หนีกันมาก แต่ไม่มีนักท่องเที่ยวไปซื้อที่ Viettel เลย ต่างกับผม และนักท่องเที่ยวอีกหลายคนที่ยืนเข้าคิวเพื่อซื้อ sim ของ Vinaphone ขนาดเป็นคิวที่ 3 ยังรอประมาณ 20 นาทีกว่าซื้อกว่าจะทำไรเสร็จ ราคาแพ็คเกจก็ไม่ได้แพงมากครับ เฉพาะเน็ต 9GB น่าจะประมาณ 200-300 บาทไทย อันนี้จำไม่ค่อยได้เหมือนกัน คือแบงค์มันย่อย แล้วหลักก็เยอะจนบางทีเก็บมาคิดตีเป็นเงินไทยก็น่าปวดหัวอยู่

วิธีคิดเงินเวียดนามกลับมาเงินไทยให้ง่ายที่สุด? ถ้าซื้อของ 200000 ดอง ก็ให้เอาไปหารพัน แล้วคูณด้วย 1.5 จะได้เป็นค่าเงินไทย ถ้าซื้อของที่ไม่ค่อยมีเศษ หรือลงตัวก็โอเคอยู่ แต่ถ้าไปซื้อของมินิมาร์ทแล้วสมมติราคา 379,000 ดอง ก็จะมาเสียเวลานั่งหารคูณก็ยังไงอยู่ หรือจะใช้สูตรเอายอดเต็มหารด้วย 658(เท่ากับ 1 บาทไทยตอนนั้น) ไปเลยก็ต้องใช้เครื่องคิดเลขอีก สุดท้ายคือเพิ่งมารู้ว่าถ้าใครใช้ Andriod เวลาปัดซ้ายไปที่ Google Now แม่งจะมีเครื่องคิดค่าเงินให้เสร็จสรรพ์ แล้วก็ real-time ในการคิดให้ด้วย

Taxi ครับพี่น้อง

เคยอ่านมาในบล็อกของฝรั่งว่าต้องระวังเรื่องแท็กซี่โกงค่าโดยสาร(ห่าเอ้ย แม่งฟังดูเหมือนไทยแถวๆ สนามบินเลยว่ะ) เลยเดินออกมาไปขึ้นที่หน้าสนามบินในประเทศ ซึ่งมันจะอยู่ตรงข้ามกับ domestic terminal พอดี หน้าตามันจะเหมือนห้างที่ข้างล่างมีพวกร้านขายอาหารฟาสฟู้ด สตาร์บัค ฯลฯ คือเดินตามคนเวียดนามไปนั่นแหละ เขาขึ้นอะไรก็เนียนๆ เดินตามไป สรุปแล้วแท็กซี่ที่ปลอดภัย และดีมีอยู่ 2 เจ้าที่เห็น คือรถคันสีเขียว กับรถคันสีขาว ประเภทของรถจะมี 2 แบบคือ รถแวนขนาดใหญ่นั่งสบายอารมณ์ประมาณ Toyota Avanza และแบบรถเก๋งธรรมดาประมาณ Vios ที่อ่านมาเขาบอกว่าราคาจะไม่เท่ากัน แบบคันใหญ่จะแพงกว่าหน่อย แต่ไปคราวนี้โบก หรือกด Grab เรียกทีไรก็ได้คันใหญ่ตลอดเลยไม่รู้ว่าต่างกันเยอะมั้ย

ค่าแท็กซี่น่าจะถูกกว่าบ้านเราพอสมควรครับ จำไม่ได้ว่าสตาร์ทที่ 10,000 ดอง เลยหรือเปล่า แต่พอรถวิ่งมิเตอร์ก็จะวิ่งไปเรื่อยๆ คนขับส่วนใหญ่จะพูดอังกฤษไม่ได้ มีอะไรหรืออยากไปไหนก็เปิด Google Maps แล้วให้พี่เขาดูเลยง่ายดี ซึ่งเวลานั่งทุกครั้งผมก็ทำแบบนี้ จะบอกชื่อโรงแรมไป แกก็งงอยู่ดี ดู Maps เลยละกัน

Grab และ มอไซค์กันทั้งเมือง

bike-in-vietnam

ได้ยินมานานแล้วว่าเวียดนามเป็นประเทศที่ใช้มอไซค์กันเยอะมาก แต่ก็ไม่คิดว่าในเมืองหลวงอย่างโฮจิมินห์แม่งจะเยอะขนาดนี้ คือที่นี่ก็มี Grab นะครับ ถ้าจะใช้ Grab เรียกรถเหมือนเมืองไทยเราก็ทำได้ จ่ายเงินดอง หรือหักบัตรเครดิตก็ไม่มีปัญหา ที่นี่คนขับ Grab เยอะเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่จะเป็น GrabBike มีอยู่ให้เห็นทั่วเมืองเลย บางทีเดินอยู่ริมฟุตบาทก็ต้องระวังด้วย เพราะพี่แกขับขึ้นมาข้างบนแบบไม่สนใจคนเดินเลยจ้า ส่วนที่น่าแปลกคือหมวกกันน็อค คือแทบทุกคนที่ขับจะใส่หมวกกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะคนขับคนนั่ง

สกิลการข้ามถนน

เนื่องจากมอไซค์เยอะ การข้ามถนนที่โฮจิมินห์นี่อาจจะต้องฝึกวิชากันสักหน่อย สำหรับแยกที่มีไฟเขียวไฟแดงสำหรับให้คนข้ามก็อาจจะไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่ต้องระวังตอนไฟเขียวอยู่ดีๆ แล้วมาแดงโดยไม่กระพริบบอกอะไรทั้งนั้น ส่วนแยกไหนที่ไม่มีไฟรอ ก็ต้องฝึกข้ามกันเอาเอง มอไซค์เยอะ รถเยอะทำให้ข้ามถนนยากกว่าในเมืองไทยมากครับ ผมว่าตัวเองก็ข้ามถนนเมืองไทยแบบชิวๆ ไม่ได้ยากอะไรนะ แต่พอไปโฮจิมินห์เนี่ยแหละที่ต้องคิดว่าต้องฝึกอีกเยอะ

ที่นี่ใช้แตรกันแบบสุรุ่ยสุร่ายมาก ไม่ต้องไปคิดเยอะ ถ้าใครบีบแตรใส่ใครเสียงดังโวยวายเหมือนจะมีเรื่องกัน ให้คิดว่าปรกติครับ บีบแตรกันทั้งวันจนถึง 3-4 ทุ่ม บางทีตรงนี้ก็มีส่วนในการเลือกที่พัก ที่เก็บเสียงหรือมีกระจกสองชั้นก็จะดีมิใช่น้อยสำหรับคนตื่นสาย และคนที่ชอบเข้านอนไว

นอนที่ Sherwood Residence 3 คืน

sherwood-residence

sherwood-room

piedpiper

จองที่พักในเขต 3 ของโฮจิมินห์ไปครับ ชื่อว่า Sherwood Residence เป็นที่พัก 5 ดาวราคาเบ็ดเสร็จตกคืนละประมาณ 5k ขอบอกเลยว่าห้องดีมาก ห้องใหญ่กว้างขวาง 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ มีห้องนั่งเล่น มีครัวแยกส่วนเรียบร้อย คิดว่าห้องนี้น่าจะนอนได้ 4-5 คนแบบสบายๆ กระจกเป็นแบบเก็บเสียงสองชั้น ไม่ค่อยได้ยินเสียงแตรที่อยู่ตรงแยกข้างโรงแรม มีสระว่ายน้ำ มีฟิตเนส เอาง่ายๆ คือมีทุกอย่างครบ ซื้อของจากมินิมาร์ทมาเก็บไว้ที่ห้อง ตื่นสายๆ ขี้เกียจออกไปหาอะไรกิน ก็ทำกินที่ครัวเองได้เลย ที่นี่มีเครื่องปิ้งขนมปัง กาน้ำร้อน ตู้เย็น เตาไฟฟ้าพร้อมเครื่องครัวครบ

มินิมาร์ท

ถึงโฮจิมินห์จะไม่มีเซเว่นเหมือนบ้านเรา แต่ก็มีแฟมิลี่มาร์ท, circle-k และ ministop และแน่นอนว่าไม่มีเยอะเดินไปที่ไหนก็เจอเหมือนบ้านเราด้วย สำหรับที่ผมพักนั้นมีมินิมาร์ทอยู่ใกล้สุดคือ เดินไปประมาณ 500 เมตร เดินกลับก็กิโลนึงพอดี ไปครั้งนึงเลยซื้อกลับมาตุนไว้เยอะเหมือนกัน ส่วนโรงแรมใหญ่ๆ ในเขตเมืองอย่างเขต 1 น่าจะหามินิมาร์ทไม่ยากครับ ถ้าเป็น Sheraton ก็จะมีมินิมาร์ทอยู่ด้านหน้าเลย มินิมาร์ทที่นี่ก็ขายของราคาปรกติพอกับบ้านเรา บางร้านจะมีสินค้าจากไทยไปขายด้วยเช่นพวกถั่วทองการ์เด้น น้ำผลไม้ กาแฟสำเร็จรูป

มินิมาร์ทส่วนใหญ่ในโฮจิมินห์จะมีโต๊ะ มีที่นั่ง ซึ่งบางร้านก็ขายพวกข้าวราดแกง และยำมาม่าที่ทำสำเร็จด้วย(ประมาณ 20-30 บาทไทย)

อาหารการกิน

ไม่ยากเย็นเหมือนที่คิด แต่ก็ไม่ได้เหมือนที่คิดทั้งหมด ใครที่ไม่ชินร้านอาหาร local ของเวียดนามก็อาจจะไม่ค่อยกล้าเข้าไปในร้าน บางร้านโต๊ะติดกันมาก นั่งเก้าอี้แดงเหมือนนั่งยองๆ โต๊ะก็เป็นโต๊ะกินข้าวเตี้ยๆ แต่คนค่อนข้างเยอะ ผมไม่แน่ใจว่าร้านบางร้านจะสั่งอาหารไปแล้วเขาจะรู้เรื่องหรือเปล่า หรือบางทีก็คิดว่าไม่มีเมนูภาษาอังกฤษ เห็นแต่ราคาไม่รู้จะสั่งยังไงเลยไม่ค่อยได้เข้าร้านอาหารพวกนั้น ถ้าร้านใหญ่ขึ้นมาอีกนิด ก็จะเป็นเหมือนร้านอาหารทั่วไปที่สามารถพบได้ในกรุงเทพฯ มีเมนูภาษาอังกฤษ ร้านกว้างหน่อย ราคาจะอยู่ที่จานละ 80 – 150 บาท แต่อาหารเขาได้เยอะครับ จานใหญ่ มือแรกที่กินที่โฮจิมินห์เนี่ยจำได้เลยว่าเป็นร้านอาหารทะเลอยู่ใกล้ที่พักชื่อร้าน Rạn Biển 6

Rạn Biển 6

อาหารจานใหญ่ดี ซีฟู้ดที่นี่ค่อนข้างสด เพราะมีตู้ปลา หอย กุ้ง ให้เรายืนดูที่หน้าร้านเลย พอตอนสั่งก็ไม่ค่อยรู้หรอกครับว่าอะไรเป็นอะไร ให้พนักงานแนะนำ แต่ก็ใช่ว่าจะพูดกันรู้เรื่องนะ สุดท้ายเขาก็พาไปที่ตู้ ให้เราชี้เอาเลยว่าจะเอาปลาตัวไหน สุดท้ายอาหารมื้อแรกก็เป็น ปลาเก๋า(มั้ง) ย่างกะหรี่บาบีคิว กับนึ่งแป๊ะซ๊ะ ผัดผัก แล้วก็ข้าวผัดกุ้งจานใหญ่ กับเบียร์อีก 6 ขวด ประมาณล้านกว่าดอง หรือประมาณพันห้าบ้านเรา

กินดีแค่มื้อแรกครับ หลังจากนั้นก็กินเฝอ ตอนแรกก็สงสัยว่า เฝอ เนี่ยมันต่างกับก๋วยเตี๋ยวน้ำใสของไทยยังไง เพราะเคยกินเฝอที่บ้านเรามันก็รสชาติธรรมดาๆ ไม่ได้มีอะไรให้รู้สึกว่าพิเศษ แล้วก็อยากจะกลับมากินอีก แต่พอไปเจอเฝอของจริงที่เวียดนาม น่าจะไปกินที่ร้าน Phở24 หรือยังไงเนี่ยแหละ ทำให้รู้เลยว่าเฝอจริงๆ มันเป็นยังไงต่างกับก๋วยเตี๋ยวน้ำใสยังไง คือเส้นอร่อยมาก เส้นนุ่มจนรู้สึกว่ากินเส้นเปล่าๆ ก็รู้สึกดีแล้ว พอมาเจอกับน้ำซุปที่เข้มข้นมันทำให้รู้สึกว่าเป็นก๋วยเตี๋ยวที่พิเศษแล้วก็อยากกินจนหมด ยิ่งตอนนั้นไปดื่มมากึ่มๆ เดินมาเจอร้านนี้ตอน 3ทุ่ม กินแล้วฟินมาก เหมือนกับเจออะไรร้อนๆ เข้มข้นทำให้ฟื้นตัวขึ้นมาชั่วขณะนึงเลย

pho-in-vietname

อีกอย่างที่จะไม่เขียนถึงไม่ได้คือ Bánh mì หรือขนมปังเวียดนาม

คือถ้าในบ้านเราเนี่ยมันจะเป็นคล้ายขนมปังไส้กรอกอันเล็กๆ ใส่ไส้กุนเชียงกับหมูยออะไรทำนองนี้ ซึ่งกินไปมันก็อร่อยนะ แต่พอไปจะร้านขายขนมปัง Bánh mì ข้างทางที่ถนนพลาซ่ากลางเมืองเข้าไปรู้สึกว่าของจริงเนี่ยอร่อยมาก ทั้งขนมปัง(ขนมปังแบบฝรั่งเศษ) กับไส้(ที่ให้ไส้เยอะ แล้วก็เป็นไส้จริงๆ) บวกกับเจ๊แกใส่ซอสอะไรสักอย่าง รวมแล้วชิ้นละ 30 กว่าบาท ได้ปริมาณพอๆ กับ Subway ที่ราคา 129 เลย แต่รสชาติเยี่ยมมาก ใครไปเวียดนามต้องไปลองหากินดูครับ เอาแบบคลาสสิค ไม่ได้ที่แบบบางร้านไปทำเพิ่มนั่นเพิ่มนี่

อาหารเวียดนามเนี่ยเหมือนได้อิทธิพลมาจากจีนอยู่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเมนูผัก หรือเมนูเส้นนี่พี่แกน่าจะถอดแบบมาจากจีนเลย แทบทุกจานจะต้องใส่ผักกว้างตุ้ง เส้นหมี่สีเหลืองที่เราเอามาผัดโกยซีหมี่ ร้านอาหารเวียดนามจริงๆ จะมีผักให้เยอะครับ แต่เป็นผักหอมๆ ของพื้นเมือง(เรียกไม่ถูกว่าผักอะไร) กินไปแล้วรสชาติค่อนข้างโอเค อ่อ.. ร้านอาหารส่วนใหญ่ที่นี่ไม่มีกระดาษทิชชู่ แต่จะเอาผ้าเย็นมาให้ที่โต๊ะแทนเวลาเรานั่ง

vietnam-streetfood

vietnam-food

เบียร์หลากหลาย และถูกมากกก

ที่สำคัญคือไม่มีเวลากำหนดในการจำหน่ายเบียร์เหมือนบ้านเรา อยากจะเปิดกินช่วงบ่ายๆ ที่อากาศร้อนๆ เนี่ยฟินมาก เบียร์ส่วนใหญ่ที่นี่ราคาถูกมากครับ ขวด 330ml ราคาขวดละประมาณ 20 ปลายๆ บางร้านอาหารจะขายเบียร์สดเป็นแก้ว แก้วนึงราคา 20 กว่าบาท 😍😍  ส่วนเบียร์ภายในประเทศน่าจะมีประมาณ 4-5 ยี่ห้อ เท่าที่กินมาทั้งหมด ผมว่า Saigon special ทั้งสีเขียว และสีแดง(export) ก็รสชาติโอเคเลย นุ่ม หอมๆ ไม่บาดคอ อีกตัวคือ bia Saigon กระป๋องสีขาวแกมเขียว ตัวนี้เหมือนจะหากินยากหน่อย แต่รู้สึกว่าบางมินิมาร์ทจะมีขาย รสจะนุ่มกว่า Saigon special อีกตัวนึงที่ชอบมากคือเบียร์สด Hanoi นุ่มๆ ปลายกลิ่นเหมือนได้กลิ่นของดอกเก็กฮวยด้วย กินแล้วสดชื่นดี ส่วนถ้าถามว่าคนพื้นเมืองกินอะไรกันเยอะ ผมว่าน่าจะเป็น Tiger เดินไปแทบทุกร้านก็เจอคนเวียดนามสั่งมากินแทบทุกร้านเลย

ไฮท์ไลท์ของทริป หาบาร์ และร้านนั่งกลางคืน

bitexco-tower

ทริปเป็นทริปกินดื่มครับ company trip ที่เอาจริงๆ มาแค่ 2 คน อีกทั้งสองคนที่มาเนี่ยชอบนั่งชิวดื่มไปเรื่อยอยู่แล้ว เลยแพลนดื่มแล้วก็เปลี่ยนร้านไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ที่ไปก็จะเป็นพวก skybar, rooftop เพื่อดูว่าที่นี่กับที่กรุงเทพฯ อันไหนจะบรรยากาศดี และน่านั่งกว่ากัน พวก rooftop ที่นี่จะเป็น cocktail bar เสียส่วนใหญ่ เหมือนคนที่ไปเที่ยวส่วนมากในโฮจิมินห์จะไม่ค่อยดื่มเหล้ากัน เลยจะเห็นพวกบาร์เบียร์เยอะกว่า บาร์ส่วนใหญ่จะมีคนต่างชาติเยอะ ฝรั่ง จีน ญี่ปุ่น แล้วก็ไม่ได้ครึกครื้น ไม่ได้มีวัยรุ่น วัยทำงานมานั่งดื่มเหมือนกรุงเทพฯ ลองเดินเข้าไปผับก็ไม่ค่อยมีคนมาสังสรรค์ เลยไม่รู้ว่า แล้วคนเวียดนามจริงๆ เค้าไปเที่ยวนั่งดื่มสังสรรค์หลังเลิกงานที่ไหนกันแน่

bitexco-with-tiger-beer

เส้นทางการเดินจากที่พักในคืนแรก ไปร้านนั่ง หรือเดินดูเมือง มารู้ตัวอีกที่ก็ตอนที่ Google Timeline มันขึ้นมาบอกเนี่ยแหละครับว่าเดินไปเยอะแค่ไหน ร้าน rooftop ที่แนะนำคือร้าน Glow Skybar อยู่ในเขต 1 ผมไปนั่งดื่มกันที่ Bitexco Financial Tower เพื่อดูวิวรอบเมืองกันก่อนแล้วค่อยเดินตามถนนพลาซ่าขึ้นไปที่ Glow Skybar ราคาไม่แพงกว่าในกรุงเทพแน่นอนครับ

First Night in ho chi minh

Bitexco to Glow

Black Coffee คือโครตดี

ตั้งแต่กลับมา ผมยังคิดถึงกาแฟดำที่เวียดนามอยู่ทุกวันเลย เวลาดื่มอะไรหนักๆ ตื่นสายแล้วแฮงค์ก็อยากจะได้กาแฟเข้มๆ สักแก้ว หรืออะไรร้อนๆ กินเพื่อ recovery กันใช่ไหมครับ ผมกับหุ้นส่วนเป็นโปรแกรมเมอร์ กาแฟดำ เนี่ยถือเป็นเครื่องดื่มที่ต้องมีอย่างน้อย 2 แก้วต่อวัน แต่ก็ไม่คิดว่ากาแฟดำ(Black Coffee ก็ทุกร้านเขียนแบบนี้) ที่นี่จะรสชาติกลมกล่อมได้ขนาดนี้ เป็นอะไรที่อยากจะนั่งดื่มแม่งทั้งวัน จะเรียกว่ายังไงดี มันเข้มนะ แต่มันก็ไม่ได้ขม ไม่ได้กลิ่นไหม้ ตัวกาแฟเหมือนมีฟองที่ด้านบน รสชาติไม่ขมมาก ไม่เปรี้ยว คือมันกลมกล่อม กลิ่นปลายเหมือนใส่นม แต่ก็ไม่ได้ใส่ ที่สนามบินผมพยายามถามร้านกาแฟแล้วว่าใช้เมล็ดกาแฟตัวไหนจะได้ซื้อกลับมา แต่เขาบอกว่าก็ผสมกันหลายๆ ตัวเลยได้ออกมาเป็นรสชาติแบบนี้?? (มึงคงจะผสมกันทุกร้านเลยสินะ)

แก้วละเกือบ 30 บาท แต่รสชาตินี่ผมว่าดีกว่ากาแฟหลักร้อย หรือเกือบร้อยที่บ้านเราเยอะครับ ใครรู้พิกัดร้านกาแฟที่รสชาติเหมือนที่ได้กินที่เวียดนามรบกวนช่วยชี้เป้าจะเป็นพระคุณอย่างสูง นี่ผมซื้อเมล็ดกาแฟจากสนามบินกลับมาสองยี่ห้อ รสชาติยังห่างไกลมากมาย 😭

ความปลอดภัย

หลังจากนั่งอ่านบล็อกก่อนไปเที่ยวจริงอยู่เป็นสัปดาห์ เอาจริงๆ ก็เริ่มวิตกกังวลเหมือนกันเพราะฝรั่งที่เขียน หรือคนไทยบางคนเคยเล่าว่าได้เจอประสบการณ์โกงบ้าง โดนราวทรัพย์บ้าง ทอนเงินไม่ครบบ้าง​ ฯลฯ เลยคิดว่าน่าจะป้องกันกับตัวเองตั้งแต่เนิ่นๆ คือเลือกที่พักดี ไปเที่ยวที่ที่คนพลุกพล่านหน่อย ไม่เดินตามถนนที่ไม่มีไฟ พยายามไม่ใช่มือถือระหว่างทางช่วงกลางคืน หรือพยายามทำตัวให้ไม่เหมือนนักท่องเที่ยว(คือ อย่าทำท่าทาง หลง งุนงง อะไรทำนองนั้นในที่ที่ไม่ค่อยมีคนนั่นแหละ)

แต่เอาจริงๆ ช่วงที่ไปตลอด 4 วันนี่ก็ไม่มีอะไรให้กังวลเลย พนักงานแต่ละร้านก็ดูใส่ใจ บริการดี พยายามช่วยเหลือเพราะเห็นว่าเป็นนักท่องเที่ยว อาจจะเป็นเพราะเลือกร้านที่ไม่ได้ local มาก ไปร้านตามที่ TripAdvisor แนะนำ ฯลฯ ยิ่งเป็นที่โรงแรมนะเข้มงวดมาก พนักงานบอกว่าโรงแรมใหญ่ๆ ในโฮจิมินห์ไม่ให้คนนอกเข้าหลัง 3 ทุ่ม ห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ ห้ามสูบในห้อง การเดินทางด้วยรถก็โอเคครับ พนักงานสุภาพ มี GPS tracking หรือใครที่ใช้ Grab ก็ใช้เพื่อความปลอดภัยได้เลยถ้ากังวลสำหรับคุณผู้หญิง

User Experience

โฮจิมินห์เนี่ยเหมือนจะมีเรื่องหงุดหงิดเล็กๆ สำหรับคนที่ทำงานด้าน product อยู่เหมือนกัน คือพวก user experience มันดูจะแปลกไปทั้งเมืองเลย อย่างแรกคือสวิทซ์ไฟ ไม่รู้ว่าเป็นเฉพาะที่โรงแรมที่เข้าพักหรือเปล่า แต่การเปิดปิดไฟที่นี่มันกดแปลกๆ คือถ้าบ้านเรามันจะมีขีดที่บนหัวสวิทซ์ถูกไหมครับ ถ้ากดฝั่งที่มีขีดแสดงว่าเปิด และกดอีกฝั่งแปลปิด แต่ที่โฮจิมินห์ที่ผมพักเนี่ยมีขีดบนหัวสวิทซ์ก็จริงแต่กดไม่ได้ คือมันกดได้ฝั่งเดียว กดหนึ่งครั้งเพื่อเปิด และกดอีกครั้งเพื่อปิด ไฟข้ามถนน หรือพวกปุ่มต่างๆ ก็เหมือนกัน แทนที่จะทำนูนขึ้นมา หรือบุ๋มลงไปสักหน่อยว่าเออ ตรงนี้คือกดได้นะ ถ้าจะข้ามถนนก็กดที่ตุ่มนี้ แต่นี่มันเท่ากันหมดเลย มีลูกศรขึ้นๆ สองอันชี้ไปทางด้านบน ไม่มีวงกลมบอกว่ากดบริเวณไหนอีกตะหาก คือคนทั่วไปอาจจะไม่ได้สนใจเท่าไหร่ครับ แต่พอผมเองมาทำงานด้านนี้กลับรู้สึกว่า มันน่าจะวิธีที่ทำให้อะไรมันดู makesense หรือง่ายขึ้นสำหรับนักท่องเที่ยว หรือคนที่เพิ่งเคยเห็น ไม่น่าจะต้องให้เขาฉุกคิดขึ้นมาเองก่อนในแว็บแรกว่าควรจะทำยังไงกับมัน

การไปโฮจิมินห์ครั้งแรกของผมถือว่าแฮปปี้นะ ไม่ได้เจออะไรที่เหนือความคาดหมาย แต่คิดว่าถ้าอยากจัดทริปอะไรสนุกๆ แบบ company trip ที่มีอะไรทำทุกคืน ส่วนตัวคิดว่ากรุงเทพฯ เนี่ยแหละครับหาได้ทุกอย่างแล้ว ถ้ามีเงิน

แชร์บทความนี้

    แสดงความเห็นของคุณที่นี่

    กรุณากรอกอีเมล์ของคุณก่อนส่งข้อมูล เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีคนมาตอบข้อความของคุณ