ผมทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ครับ งานส่วนใหญ่ของลูกค้าไม่สามารถนั่งแก้แล้วเปลี่ยนแปลงแก้ไขในช่วงเวลากลางวันที่คนใช้งานกันเยอะได้ ซึ่งโดยปรกติแล้วอาชีพประเภท เอ็นจิเนียร์ หรือโปรแกรมเมอร์มักจะต้องเจอกับงานที่ต้องแก้ไข หรือเอาขึ้นในเวลากลางคืนที่คนใช้น้อย หรือคนปรกติทั่วไปไม่ค่อยใช้กัน เราจึงเห็นธนาคารปรับปรุงระบบในเวลากลางคืน ตลาดหุ้นปิดปรับปรุงแก้ไขในช่วงสุดสัปดาห์ หรือรถไฟฟ้าที่ทดลองวิ่ง หรือซ่อมกันหลังเที่ยงคืน
ไม่เว้นแม้แต่โปรแกรมเมอร์ที่ต้องมานั่ง deploy งานช่วงดึกถึงเกือบรุ่งเช้าของวันใหม่ ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของงานนั้นๆ
แน่นอนครับปัญหาหลักของคนที่ทำอาชีพอย่างผมคือ คนส่วนใหญ่มักไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำอะไรดึกๆ ดื่นๆ บางทีก็มีแก้งานอะไรกันเกือบเช้า บางทีก็มานั่งสงสัยว่าจริงๆ แล้วตัวเองทำงานกลางวัน หรือกลางคืนกันแน่ จนเมื่อวันก่อนผมนั่งทำงานเข้า loop เดิมนี่ถึงช่วงประมาณตีสาม ก็เกิดหิวขึ้นมาเลยขับรถไปหาอะไรกินที่ foodland ไอทีสแควร์หลักสี่ สิ่งที่ผมเห็นเป็นภาพประจำเลยคือที่เก้าอี้บาร์ที่ว่าง มีพนักงานเดินเก็บของ จัดโต๊ะ ทำความสะอาด แล้วก็เตรียมอาหารสำหรับเช้าวันใหม่
ผมนั่งลงตรงบาร์เหมือนทุกครั้งที่มากิน ปรกติแล้วก็ไม่ได้สังเกตอะไรเท่าไหร่หรอกครับ แต่วันนั้นดันคิดขึ้นได้ว่า ตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ต้องมานั่งทำงานกลางค่ำกลางคืนแบบนี้ไปบ่อยแค่ไหน แล้วสิ่งที่ทำอยู่มันยังไงๆ หรือเปล่า ผมก็อธิบายเป็นตัวหนังสือหรือคำพูดไม่ถูกเหมือนกัน มันเหมือนเป็นช่วงเวลาที่เราสงสัยอะไรสักอย่าง แล้วก็หาคำตอบวนไปเวียนมาอยู่อย่างนั้น หรืออย่างน้อยๆ ก็อยากได้อะไรที่ทำให้ตัวเองมั่นใจขึ้นมาได้บ้างในระดับนึง
จนไปเห็นพนักงานรุ่นป้า(คิดว่าน่าจะอายุเยอะกว่าแม่ผมหน่อย) ทำงานกันอย่างขะมักเขม้นอยู่ที่ครัวก็เกิดสงสัย ทำไมพวกป้าเขามาทำงานอะไรกันกลางคืน แล้วถ้าเป็นพนักงานประจำนี่ต้องตื่นออกจากบ้านมาตั้งแต่กี่โมง ลูกหลานว่ายังไงบ้างที่ป้าหรือแม่ออกมาทำงานกะดึกแบบนี้อยู่ทุกวัน เกิดความเป็นห่วงบ้างไหม คำถามมันก็ผุดขึ้นมาต่างๆ นาๆ ตามประสาของมันนั่นแหละครับ
บางทีสมองก็ทำงานดีเกินไป มันทำงานราวกับว่าไม่เคยหยุดลาพักร้อนสักวันสองวันเลย
คุณผู้อ่านเชื่อไหมครับ ผมค่อนข้างสับสนกับเรื่องงานที่ต้องมานั่งทำตอนกลางคืนในบางวัน แต่ผมออกมาเห็นคุณป้าหลายท่านที่ทำงานกะกลางคืนทุกวันแบบนี้ ผมเหมือนกับรู้สึกว่าตัวเองหาคำตอบให้กับเรื่องที่เราสงสัยและเกิดคำถามได้แล้ว บางทีคนเรามีทางเลือกไม่มากนัก และสิ่งที่เราทำบางอย่างล้วนจำเป็นต้องทำ ไม่ได้อยากทำจริงๆ มันจะน่าดีใจแค่ไหนถ้าวันนึงเราตามหาคนที่เข้าใจในสิ่งที่เราทำได้โดยไม่มีการแบกรับ หรือข้อแม้ใดๆ ในสิ่งที่เราเป็นจริงๆ
การตัดสินใจบางทีใจก็ใหญ่กว่าสมอง
ในเมื่อตัดสินใจอะไรออกไปแล้ว แล้วทำไมจะต้องมานั่งจมอยู่กับความคิดที่ว่าเราตัดสินใจผิดหรือถูกด้วยละครับ แค่รู้สึกสนุกกับตอนนี้ทุกวันนี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว อย่าเพิ่งไปคิดถึงวันข้างหน้าในอีกหลายวันที่จะทำให้เราใช้ชีวิตยากขึ้นเลย แค่ให้รู้สึกว่าตัวเองกำลังชอบเวลาแบบนี้ ตอนนี้ ความรู้สึกแบบนี้ก็น่าจะพอแล้วมั้ง