จะว่าไป 4 ปีนั้นไวเหมือนโกหกของสถานะการเป็นนักศึกษา ผมยังจำวันวานช่วงที่ใส่ชุดนักเรียนหัวเกรียนได้อยู่ และ รู้สึกว่าชีวิตในรั้วมหาลัยมันค่อนข้างสั้นกว่าการใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนอีกด้วยซ้ำไป… เส้นทางที่ผมเลือกเดินทางมาตลอดเกือบ 4 ปี นั้นสอนอะไรผมหลายอย่างเหลือเกิน มันมากเกินกว่าช่วงชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมดของผมเสียอีก และ ผมก็เข้าใจว่านอกเหนือจากรั้วมหาลัยนี้ มันก็คงจะมากขึ้นกว่านี้ไปอีกเรื่อยๆ ผมอยากจะขอทบทวนความหลังตอนตัดสินใจเลือกเดินสายวิชาชีพนี้เสียหน่อย ปัจจุบันผมเรียนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือที่ใครต่อใครรู้จักกันในชื่อ Com-science, วิทย์-คอม หรืออะไรทำนองนั้นแล้วแต่จะเรียกกัน จุดเริ่มต้นทั้งหมดมันเกิดจากความสับเพร่าเล็กๆ ของผมที่บอกกับตัวเองตอนสมัย ม.ปลายว่า “เลือกสาขานี้แหละ คณะนี้แหละ ก็เพราะชอบคอมไง”
มันเป็นความบังเอิญ หรือ ผมพลาดไปตั้งแต่แรก เมื่อคณะที่ผมเลือกลงนั้นยังไม่ใช่คณะนี้ แต่กลับไปเลือกลง วิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีมัลติมีเดีย ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่ได้จบสายวิทย์-คณิต อีกทั้งไม่มีพื้นฐานพวกวิชา ฟิสิกข์ เคมี ชีวะ เลยด้วยซ้ำไป จึงต้องขอทำเรื่องย้ายคณะตั้งแต่สัปดาห์แรก ประกอบกับช่วงนั้นเอง.. ผมลังเลที่จะเลือกเรียนคอมต่อดีมั้ย หรือว่าจะเปลี่ยนไปลงที่คณะมนุษย์ศาสตร์บ้าง เผื่อจะเปลี่ยนตัวเองหาอะไรใหม่ๆ ผลัดจากคอมที่ต้องเจออยู่ทุกวัน เห็นอยู่ทุกวัน แต่ไหนๆก็ลงกับมันมาเยอะแล้ว ไม่อยากทิ้งเรื่องเก่าๆ อุตส่าห์มานะอดทนพยายามร่ำเรียนกราฟฟิคมาหลายตัง เลยตัดสินใจเรียนคอมต่ออีกครั้งที่คณะวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีนี้
แต่เรื่องมันก็ไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างที่คิด..
ด้วยความสับเพร่าอีกรอบ ตั้งใจจะเรียนพวกคอมพิวเตอร์ กราฟฟิค 3D แอนิเมชั่น แต่กลับไปลงสาขาวิทยาการคอมซึ่งเป็นส่วนของโปรแกรมมิ่งเสียมากกว่า เลยต้องจำใจเรียนเขียนโปรแกรมไปทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่ได้ชอบอะไรสักเท่าไหร่ วันเวลาผ่านไป ความรู้สึกท้อถอยที่เขียนโปรแกรมไม่ออกบ้าง เรียนภาษามากมายก่ายกองบ้าง จนมานั่งนึกดูแล้วก็ยังไม่แน่ใจตัวเองเลยด้วยซ้ำว่าเขียนภาษาโปรแกรมมิ่งภาษาไหนที่ถนัด เพราะต่างก็รู้แต่ละภาษาแบบงูๆ ปลาๆ เอาแค่พื้นฐานเป็นพอ เหมือนจะดูมีภาระ อุปสรรคมากมาย แต่ สิ่งเหล่านั้นเองกลับสอนผมอย่างช้าๆ ให้เข้าใจวิทยาศาสตร์ ตรรกศาสตร์ และ การใช้เหตุผลที่มากขึ้น
ผมเริ่มซึมซับสิ่งเหล่านั้นเข้าสู่ตัวเองอย่างที่ไม่ค่อยรู้สึกตัวนัก แต่พอนำความรู้ แนวทางการคิดเหล่านั้นมาใช้ ก็รู้ว่าตัวเองใช้หลักการเหล่านั้นไปโดยปริยาย มาถึงช่วงก่อนจบนี้เองที่ผมก็กำลังตัดสินใจระหว่าง เรียนต่อโท หรือ จะทำงานก่อนดี แต่ที่คิดไว้หากต่อโทคงไม่เรียนเกี่ยวกับสายคอมนี้อีกแล้ว จึงสรุปบางสิ่งบางอย่างได้ว่า บางครั้ง ชอบคอมก็ไม่ได้หมายความว่าต้องเรียนคอมเสมอไป เหมือนกับย้อนกลับคำถามที่รุ่นพี่หรืออาจารย์ถามเราตอนปีหนึ่งอีกครั้งว่า “ทำไม น้องเลือกมาเรียนคณะนี้ล่ะคะ”
“ผม ชอบคอมครับ” … เหตุผล แค่นั้นเองหรือ ?
ผมมีไดอารี่เล่มนึงครับ มันก็ไม่ได้เชิงไดอารี่เสียเท่าไหร่ เหมือนสมุดโน้ตว่างๆ ที่ผมเลือกจะเขียนบันทึกคำ หรือ แนวคิดต่างๆ ที่กลั่นออกมาจากสมองในช่วงเวลานั้นๆ บางครั้งผมก็ถ่ายรูปบางหน้าของสมุดลง Instagram บ้าง Facebook บ้าง แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะแบ่งหรือเผยแพร่ให้ใครอ่านอย่างเป็นจริงเป็นจัง ผมว่า
บางครั้งที่เรามีปัญหาภายในจิตใจ หรือ ปัญหาจากภายนอก การใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ถ่ายทอดความคิดบางส่วนที่ถูกสรุปเป็นถ้อยคำสั้นๆ ง่ายๆ ผ่านตัวอักษร มันอาจจะช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ,, ไม่มากก็น้อย
Jir4yu.