บทความปีที่ 13

ตามทำเนียมคือช่วงครบรอบวันเกิดในแต่ละปี ผมจะมานั่งเขียนบทความสักเรื่องแล้วย้อนกลับไปดูว่าปีก่อนๆ เขียนอะไรไปบ้าง ความคิดความอ่านเราโตขึ้นแค่ไหน ปีนี้เป็นปีที่ 13 กับบทความกว่า 500 เรื่องที่เขียนขึ้นมา ปีนี้น่าจะเป็นปีแรกๆ ที่รู้สึกว่าพออายุเริ่มเยอะขึ้น การลงมานั่งเขียนเรื่องบางเรื่องก็ดูยากขึ้นตามไปด้วย หนึ่งคือมันอาจจะไม่ได้เป็นเรื่องที่เหนื่อยหน่ายใจเหมือนช่วงโควิดที่ผ่านมา กับสองคือเราอาจจะปล่อยวางบางสิ่งบางอย่างไปได้แล้ว จนไม่ได้เก็บเรื่องอะไรมาคิดให้มันรบกวนการทำงาน และการนอน ซึ่งเป็นสองเรื่องที่สำคัญแทบจะที่สุดเมื่ออายุมากขึ้น

แต่พออายุมากขึ้น กลับเริ่มรู้สึกว่าเราเริ่มเรียนรู้อะไรยากขึ้นกว่าเมื่อก่อนพอสมควร ถึงแม้จะพยายามบอกตัวเองอยู่เสมอตามที่อ่านตามที่เห็นมา อย่าทำตัวเหมือนน้ำเต็มแก้ว อย่าบอกว่ารู้แล้ว เปิดใจให้มากขึ้น หรือจะเป็นอะไรต่างๆ ที่เคยพูดตอนสัมภาษณ์ตอนเรียนป.โทประมาณว่า life long learning การเรียนรู้ตลอดชีวิต แต่พอเราโตขึ้นจริงๆ มันกลับมีหลายปัจจัยที่อยู่ดีๆก็อาจจะมาเป็นภาระผูกพันธ์เอาเสียดื้อๆ สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ ego ของตัวเอง ที่ไม่แน่ใจว่าพอเราอายุมากขึ้น มันจะมีสูงขึ้นตามไปด้วยมากน้อยแค่ไหน

และการที่พร่ำบอกตัวเองอยู่เสมอให้ระวังเรื่อง ego ของตัวเองนั่นแหละที่จะเป็นตัวขัดขวางการเรียนรู้ มันจะไปช่วยเตือนตัวเองได้ถึงจุดไหน แต่จะให้พูดจริงๆ การกังวลเรื่องอนาคตมากไปในตอนนี้ก็เปล่าประโยชน์ เพราะบางทีการกังวลเรื่องอนาคตมากเกินไปอาจจะทำให้เราเสียอะไรมากกว่าที่มันควรจะเป็นก็ได้ กังวลว่าไอ้นั่นจะเป็นอย่างนั้น ไอ้นั่นจะเป็นอย่างนี้ เตรียมตัวทำนั่นทำนี่เพื่อปิดไม่ให้มันเกิด กลายเป็นว่าเราไป focus กับเรื่องในอนาคตมากกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นหรือเป็นอยู่ในปัจจุบัน ซ้ำยังอาจจะทำให้เสียทรัพยากรมากไปกับสิ่งที่อาจจะไม่เกิดขึ้นจริงในวันข้างหน้าก็ได้

ส่วนไอ้ทรัพยากรที่สำคัญและมีค่าในช่วงวันที่โตขึ้นที่ว่านี่ก็คือเวลา
และเวลาคงเป็นสิ่งเดียวที่เราไม่สามารถมีเพิ่มขึ้นได้

มันต่างจากการที่ไม่ได้คิดถึงอนาคต หรือไม่วางแผนอะไรวันข้างหน้า เรายังคงเตรียมตัวเตรียมใจเหมือนเดิม แต่ก็คงน้อยลงไปแบบแปรผกผันกับอายุที่มากขึ้น ไอ้ความคิดที่ว่า อะไรมันจะเกิดมันก็ต้องเกิด เพราะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราก็มีหน้าที่เหมือนที่ผ่านๆ มาคือแก้ไขมัน จะมานั่งเป็นทุกข์อยู่กับการตั้งคำถามเสมอๆ ว่าทำไมต้องเกิดกับเรา ทำไมเรื่องนั้นถึงเป็นแบบนี้ก็คงเหมือนนั่งเสียดายเรื่องที่ผ่านไปแล้วและแก้ไขอะไรต่ออะไรไม่ได้

Prepare for the worst, hope for the best

การปล่อยให้อะไรรอบตัวเป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็นแต่ก็ยังมีการเตรียมตัวอยู่บ้าง อาจจะเป็นวิธีที่ดีกว่า กว่าการคาดหวังอย่างแรงกล้าในวันข้างหน้าและเป็นทุกข์อยู่ในปัจจุบัน หรือนี่แหละหนาจะเป็นคำสอนที่ผู้ใหญ่หลายคนพร่ำบอกมาอยู่เสมอ ว่าพออายุมากขึ้น ความคาดหวังก็เริ่มน้อยลง อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยวางมันไป

บทความปีที่ 13 นี้ก็คงจะสั้นประมาณนี้

แชร์บทความนี้

    แสดงความเห็นของคุณที่นี่

    กรุณากรอกอีเมล์ของคุณก่อนส่งข้อมูล เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีคนมาตอบข้อความของคุณ