5 ปีกับทริปไนซ์เดย์

ผมเคยเขียนบทความเอาไว้เมื่อปี 62 ชื่อว่า ทริปไนซ์เดย์ กับการเดินทางครั้งใหม่ บทความนั้นเล่าเกี่ยวกับการเริ่มโปรเจคใหม่ในบริษัทใหม่ ตอนนั้นไม่ได้คิดเลยว่าจะเอาโปรเจคจบโทของตัวเองมาทำต่อจริงจังจนกลายเป็นบริษัทที่มีผู้ใช้งานเดือนละประมาณ 50,000 คนอย่างทุกวันนี้ วันนี้เลยอยากจะเขียนบันทึกเอาไว้หลังจากที่ผ่านอะไรมามากมายตลอดระยะเวลา 5 ปี ซึ่งก็เป็น 5 ปีที่ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างแทบจะมากที่สุดช่วงเวลานึงของชีวิต

เป็นโปรเจคที่ตอนแรกไม่รู้ว่าจะหาเงินได้ไหม

บางทีความเป็นโปรแกรมเมอร์แค่ได้ทำอะไรขึ้นมาสักอย่างแล้วมีคนใช้ มีคนเห็นว่าสิ่งที่เราทำเป็นประโยชน์ก็เพียงพอแล้ว ตอนแรกคิดแบบนั้นจริงๆ ไม่ได้แคร์อะไรมากว่าจะต้องหาเงินได้ เลี้ยงตัวเองได้ เพราะส่วนตัวก็มีบริษัทซอฟต์แวร์อยู่แล้ว รับเขียนพัฒนาโปรแกรมเป็นฟรีแลนซ์แล้วทำทริปไนซ์เดย์เป็นงานอดิเรก ตอนนั้นแค่คิดว่างานอดิเรกที่ทำนี่เราใช้ประโยชน์ได้ มีคนคล้ายเราที่ได้ประโยชน์เหมือนกันก็ดีละ ไม่ได้ตั้งใจว่าจะเอาออกมาทำเป็นงานประจำ หรือทำเป็นงานหลักหาเลี้ยงหาโอกาสให้ตัวเองอย่างทุกวันนี้

แต่ทำยังไงได้ล่ะ ก็มันเป็นโปรเจคจบที่ตัวเราเองอยู่ในคณะบริหารธุรกิจ ถ้าไม่ได้คิดโมเดลธุรกิจอะไรเลยก็คงผ่านออกมาไม่ได้ เริ่มแรกพยายามหาความเป็นไปได้อยู่ 3-4 ช่องทาง แต่ลึกๆ ก็คิดอยู่แล้วว่ามันจะไปอยู่อะไรได้ ทำธุรกิจ B2C โดยที่เงินเริ่มต้นแทบไม่มี มีเจ้าประจำที่เป็น top of mind อยู่ในธุรกิจนี้ แล้วก็เป็นอุตสาหกรรมที่ใครต่างก็เข้าๆออกๆ ตอนนั้นแค่ว่ามีโมเดลหารายได้ให้ดูเป็นรูปเป็นร่างส่งอาจารย์ได้ก็คงเพียงพอ

เจอที่ปรึกษาที่สำคัญในชีวิต

ถ้าถามว่าทริปไนซ์เดย์ให้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันหรือยังทำมาตั้งนาน ก็คงได้เลยบอกว่าถ้าพูดถึงเรื่องของตัวเงิน งานที่ทำกับทริปไนซ์เดย์มา 5 ปีนี้อาจจะให้น้อยกว่าการรับงานเขียนโปรแกรมที่ได้ในปีนึงก็คงจะพูดได้ แต่การมาทำทริปไนซ์เดย์เหมือนเป็นการเปิดประตูสู่โอกาส และโดยเฉพาะประสบการณ์ที่ไม่เคยเจอจากการทำงานเขียนโปรแกรมมาเป็นสิบปี และบางทีก็คิดว่าถ้าทำงานกับที่อื่น หรือทำงานเขียนโปรแกรมเป็นฟรีแลนซ์ต่อไปคงไม่ได้เจอโอกาสแบบนี้ ที่สำคัญคงเป็นเรื่องราวระหว่างทางที่มีทั้งทุกข์และสุขจากการทำงานที่ทริปไนซ์เดย์นี่

จะมีสักกี่ครั้งที่เราผ่านอะไรมาแล้วสามารถบอกได้เต็มปากว่า “เออ.. เรื่องนี้มันทำให้เราเป็นผู้เป็นคนขึ้น” เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมามักจะถามตัวเองอยู่ตลอด เทียบเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วและผ่านไปแล้วอยู่ตลอดประมาณว่า เรื่องนี้หนักกว่าเรื่องนั้นไหม? เรื่องแบบนี้เคยผ่านมาหรือยัง? แต่ก็ไม่มีเรื่องไหนเลยที่จะให้อารมณ์ความรู้สึกเหมือนกับการที่ได้เจออะไรตลอด 5 ปีที่ผ่านมา

เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นไหม ไม่รู้เหมือนกัน.. เราอาจจะเป็นเด็กเหมือนเดิมอยู่ก็ได้ แต่เราแค่เรียนรู้ที่จะต้องแสดงออกอย่างไรต่อหน้าสังคม เรียนรู้ที่จะต้องเลือกตัดสินใจ ทั้งๆที่ไม่มีตัวเลือกไหนดีเลย เรียนรู้ที่จะต้องทำเรื่องแต่ละเรื่องในแต่ละวันทั้งๆ ที่ไม่อยากทำ บางทีก็นั่งคิดอยู่คนเดียวเงียบๆ หลายครั้งว่า ทั้งหมดที่ทำมานั้นทำไปทำไม จะพาชีวิตมาเจอความยุ่งยากแบบนี้ทำไม แต่อย่างว่า บางทีเราก็คิดเข้าข้างตัวเองในแง่ดีว่า เรื่องพวกนี้กำลังทำให้เราเก่งขึ้น ถ้าเจอแต่เรื่องเดิมๆ เรื่องไม่ท้าทาย ชีวิตคงเดินทางเป็นเส้นตรงเหมือนปีแต่ละปีไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมาก..

ไม่หรอก จริงๆ เราก็แค่ปลอบตัวเองไปในแต่ละวัน ทนอีกหน่อย สู้อีกหน่อย อยากจะรู้ว่าเราไปได้ไกลสักแค่ไหน พอผ่านไปวันแต่ละวันมันก็นานเข้าจากเดือนเป็นปี จากปีเป็นหลายปี สุดท้ายเราก็ยังอยู่นี่หว่า ยังทนได้นี่หว่า แล้วก็รู้ตัวว่าทำอะไรต่ออะไรได้ดีขึ้น ได้มากขึ้น รู้สึกว่าเป็นคนมีความสามารถกว่าวันก่อนๆ เหมือนสิ่งที่อยู่ระหว่างทาง คอยทำให้ปลายทางมีความหมาย กลายเป็นเริ่มบอกตัวเองว่าการมาทำอย่างทุกวันนี้มันก็ไม่ได้แย่นี่ มันได้อะไรคืนมามากกว่าด้วยซ้ำ

โดยเฉพาะได้เจอกับอาจารย์ที่ปรึกษา 2 ท่าน ที่อยู่กับผม และทริปไนซ์เดย์มาตั้งแต่วันแรกตั้งแต่เอาโปรเจคไปลองเสนอที่โครงการ NIDA Business Accelerator จำได้แม่นเลยว่าวันแรกที่เดินเข้าไปในห้องนำเสนอ อาจารย์ท่านนึงถามว่า “โปรเจคเรามีคนเดียวหรอ” แล้วก็นำเสนอไอเดียไปแบบค่อนข้างสับสน แต่แกคงเห็นอะไรสักอย่างเลยได้มาเป็นที่ปรึกษาของบริษัทตั้งแต่วันแรก แล้วก็อยู่ให้คำปรึกษามาจนถึงทุกวันนี้รวมๆ ก็เกือบ 6 ปีแล้ว

จริงๆ ผมเจอที่ปรึกษาค่อนข้างบ่อย ช่วงปีแรกๆ เจอกัน 2 อาทิตย์ครั้ง นัดกัน 7 โมงเช้าวันอาทิตย์ที่ร้านกาแฟที่นึงแถวรัชดา แกบอกว่าอยากจะดูสักหน่อยว่ามีความเอาจริงเอาจังแค่ไหน ตั้งแต่มีทติ้งแรกจนมีทติ้งทุกวันนี้ ผมไปถึงคนแรกก่อนเวลาเสมอ ถึงแม้ช่วงหลังๆ จะเจอกันเดือนสองเดือนครั้ง แล้วก็ปรับเวลามาเป็น 9 โมงบ้าง นัดทานข้าวเที่ยงบ้าง แต่ความรู้สึกก็ยังเหมือนเดิม ผมอยากไปเจอ อยากไปเล่า อยากไปฟังฟีดแบค อยากไปขอคำแนะนำ จนหลังๆ ผมได้คำปรึกษาทั้งเรื่องงานเรื่องชีวิต เรื่องการตัดสินใจหลายๆอย่าง จากมีทติ้งเช้าวันอาทิตย์นี้มาเป็นเราเองอย่างทุกวันนี้ด้วย

ผมเคยมีเขียนเอาไว้หลายบทความเหมือนกันเกี่ยวกับการได้เจอที่ปรึกษาของบริษัท เรื่องที่ต้องตัดสินใจ รวมไปถึงเรื่องที่ได้เรียนรู้สำคัญๆ แต่ถ้าสรุปทั้งหมดแล้วผมก็ยังตอบคำเดิมว่า คิดว่าตัวเองโชคดีที่ได้ทำทริปไนซ์เดย์ แล้วก็ได้เจอที่ปรึกษา ได้เจอคนสำคัญๆ งานและโอกาสสำคัญๆ โดยทั้งหมดเริ่มต้นจากมีทติ้งเช้าวันอาทิตย์เมื่อ 5 ปีที่แล้วทั้งนั้น

การขอทุนรัฐ

ทริปไนซ์เดย์ได้ทุนรัฐมาทั้งหมด 3 ครั้งเริ่มตั้งแต่ปี 2019 ผมเคยเขียนเกี่ยวกับการขอทุนรัฐไปบ้างแล้วในบทความ ครั้งหนึ่งเคยได้รับทุนจาก TEDFund การได้ทุนรัฐครั้งแรกเอาจริงๆ มันก็เริ่มจากการมีที่ปรึกษาโครงการ ตอนนั้นที่ปรึกษาที่เป็นอาจารย์สถาบันเห็นว่าโปรเจคจบของผมน่าจะไปได้ เลยหยิบไปส่งชื่อเข้าโครงการ Business Brotherhood (ของ สอว.) ส่งไปเป็นตัวแทนสถาบัน แล้วก็ผ่านได้เงินก้อนแรกมาก้อนนึงเป็นเงินที่ไม่ได้มากมาย เอาไว้ใช้สำหรับเอาไปจัดตั้งบริษัท กับเริ่มต้นธุรกิจทดสอบตลาดเบื้องต้นเสียมากกว่า โดยช่วงแรกๆ ยังมีพี่ใน accelerator คอยช่วยประสานเรื่องเอกสารขอทุน เตรียมข้อมูล ฯลฯ ทำให้ช่วงนั้นโฟกัสกับการทำแพลตฟอร์มได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องพวกบิลค่าใช้จ่าย หรือทำหนังสือขอเบิกอะไรมากนัก

พอหลังจากนั้นก็เริ่มมีพื้นฐาน รู้สึกว่าตัวเองน่าจะฝึกเขียนขอทุนต่อได้ เลยไปสมัครขอทุนครั้งที่ 2 กับ TEDFund ตามในบทความที่ผมเคยเขียน และสุดท้ายก็มาขอทุนอีกก้อนก็เป็นของ TEDFund เหมือนกัน สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเขียนโครงการพอขอทุนรัฐโดยรวมมูลค่าประมาณเกือบ 3 ล้าน มีหลายอย่าง สิ่งที่ได้แน่ๆ คือความรอบคอบในการทำเอกสาร เก็บบิลค่าใช้จ่าย รวมไปถึงการใช้จ่ายเงินที่ต้องละเอียดขึ้นกว่าเป็นเงินที่หามาได้เอง ส่วนตัวคิดว่าเป็นเพราะการเบิกจ่ายที่ค่อนข้างใช้เวลา และต้องมีเอกสารประกอบการใช้จ่ายให้ถูกต้อง ถามว่ายุ่งยากไหม ก็บอกได้เลยว่ายุ่งยากกว่าเราทำเองตอนแรกแน่ๆ อีกอย่างคือต้องหาเงินมาหมุนสำรองจ่ายออกไปก่อนแล้วรวมเอกสารไปเบิก จุดนี้เองอาจจะเป็นจุดที่ยากสำหรับบริษัทตั้งใหม่ที่ไม่ได้มีเงินลงทุนอะไรเยอะ ต้องไปหาเงินจ่ายไปก่อน แล้วรวมเบิกซึ่งใช้เวลาประมาณ 1-3 เดือน เพื่อจะได้เงินก้อนนั้นคืน

ช่วงที่ทำบริษัทใหม่ไม่มีเงิน ไม่มีรายได้ จำได้เลยว่าการจ่ายสำรองเงินไปก่อน แล้วรวมบิลเบิกเป็นเรื่อง suffer พอสมควร ถึงแม้เราจะรู้อยู่แล้วว่าเงินจากรัฐที่จะเบิกนี่ได้คืนแน่ๆ แต่เงินที่จะสำรองจ่ายไปก่อนนี่ล่ะจะไปหามาจากที่ไหน

อีกเรื่องเป็นเรื่องเอกสารที่ไม่พูดถึงก็คงไม่ได้ ทุกช่วงที่จะเบิกเงินเป็นช่วงที่ต้องรวมเอกสารหลายอย่าง เบิกงวดนึงอาจจะใช้กระดาษเป็นรีม แก้ตัวเลขที่ไม่ตรงหลายครั้งส่งกลับไปมาระหว่างเรากับกองทุนฯ ช่วงแรกเอาจริงๆ ท้อเหมือนกัน เงินสำรองจ่ายก็ไม่มี ถึงมีก็สำรองจ่ายไปแล้ว แล้วก็ไม่รู้ว่าจะได้เงินคืนเดือนไหน ไม่รู้ว่าส่งไปแล้วมีแก้อีกหรือเปล่า ถ้ามีแก้ก็ต้องรอออกไปเรื่อยๆ พอทำอะไรๆ คนเดียวทั้งทำเอกสารเบิกแล้วก็ต้องทำแพลตฟอร์มไปด้วยเป็นอะไรที่หมดพลังใจได้ง่ายเหมือนกัน แต่ก็ดีหน่อยที่ผ่านมาละ ช่วงหลังน่าจะเป็นความชินชาที่รู้ว่าต้องเจออะไร เลยไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องท้อใจเหมือนตอนที่ประสบแรกๆ

แต่ผมยังเชื่อมาเสมอว่า ใครทำคนนั้นได้ การที่เราเจอเรื่องยากๆ รู้สึกว่ายากผ่านไปได้ยาก ก็อาจจะหมายถึงเรากำลังเรียนรู้ เรากำลังเติบโต เราอาจจะกำลังเก่งขึ้นกว่าที่เราเคยเป็นเมื่อวันวาน ยังไงเสียเรื่องทุกอย่างมันก็ผ่านมาแล้ว และเราก็ยังอยู่นั่นแหละเรื่องสำคัญ

การทำงานกับรัฐ

ตอนที่ทำบริษัทมาได้ปีสองปี เริ่มคิดว่าเจอปัญหาเกี่ยวกับความไม่เชื่อใจของผู้ใช้ อาจจะเป็นเพราะแพลตฟอร์มทำแต่กับโมเดล B2C พอเริ่มมีของมาขายเช่นพวกแพ็กเกจเที่ยวอะไรพวกนี้ ลูกค้าเริ่มสงสัยว่าจะเชื่อใจบริษัทนี้ได้ไหม ไม่เคยได้ยินชื่อ ซื้อไปแล้วจะทำยังไง ฯลฯ เลยคิดว่าอาจจะต้องทำ branding ทำตัวเองให้เป็นที่รู้จัก แต่การทำแบบนั้นอาจต้องใช้เงินมหาศาล ไหนจะเป็นช่วงโควิด ไหนบริษัทจะยังไม่มีรายได้ แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาทำการตลาด เลยคิดว่าน่าจะลองไปทำงานกับรัฐเพื่อเพิ่มเครดิตให้ตัวเองดู อย่างน้อยเวลาประชาสัมพันธ์ออกไปคนจะได้พอเชื่อใจได้บ้างว่าบริษัทนี้ระบบนี้ทำงานกับหน่วยงานของรัฐ รัฐน่าจะการันตีมาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย

ช่วงแรกเข้าหาหน่วยงานเกี่ยวกับการท่องเที่ยวแทบทุกที่ ใช้วิธีรวมอีเมลจากในเน็ตแล้วส่งโปรไฟล์แนะนำตัว แนะนำบริษัท รวมถึงกิจกรรมที่อยากลองทำร่วมกัน คิดมาให้แล้วเสร็จสรรพ เก็บข้อมูลลง excel เหมือนเป็น CRM ย่อมๆ รวมแล้วส่งไปเกือบ 100 หน่วยงาน มีตอบกลับมา 4-5 แห่ง ขอนัดนำเสนอ ช่วงแรกทำงานฟรี อาจจะได้ของชำร่วยเป็นของตอบแทนมาจากคนใช้ระบบเล็กน้อย ทำแบบนี้อยู่เป็นปีๆ เงินไม่ได้ ขอซื้อใจลองทำงาน สร้างความเชื่อใจแต่ละที่แต่ละหน่วย บางทีท้อเหมือนกัน คิดว่าโมเดลที่ทำเสนอไม่เวิร์ค กลับมานั่งปวดหัวคิดโมเดลใหม่เสนอหลายสิบอย่าง แต่ละหน่วยงานก็แต่ละโมเดล ใช้เวลาแต่ละวันทำสไลด์ แล้วก็ทำแพลตฟอร์มไปพร้อมกัน นั่งถามตัวเองอยู่ทุกวันว่าที่ทำนี่ทำอะไรอยู่ มาถูกทางไหม แล้วต้องใช้เวลาเท่าไหร่เพื่อจะได้งานได้เงินก้อนแรก

จากวันนั้นผ่านมา 2-3 ปี รู้สึกเหมือนพืชผักกำลังเติบโต ความเชื่อใจเริ่มทำงาน คนในหน่วยงานเริ่มคุยเริ่มพูดถึง เริ่มเป็นที่ไว้วางใจให้ทำงานทำแคมเปญต่างๆ เริ่มพอจะมีรายได้เข้าบริษัทบ้าง ช่วงนี้จะได้ทั้งลูกค้าเข้าแพลตฟอร์มใหม่ๆ ได้ประชาสัมพันธ์ทางสื่อของรัฐที่ไปทำงานด้วย เริ่มมีงานเข้ามาโดยที่ไม่ต้องออกไปวิ่งหา แล้วก็ได้ความเชื่อใจจากผู้ใช้มาตามที่ตั้งใจไว้เหมือนตอนที่เริ่มแรกๆ

เราถูกสอนมาเสมอว่าเวลาเป็นสิ่งสำคัญที่ควรรักษาและไม่ควรเสียไปโดยใช่เหตุ แต่บางทีเราก็ควรจะปล่อยให้เวลาทำงานของมัน ปล่อยให้อะไรสั่งสมเติบโตโดยที่ไม่ควรเข้าไปเร่งไปก้าวก่าย น่าจะเป็นบทเรียนเกี่ยวกับการรอคอยและความอดทนที่สอนให้เราเป็นเราอย่างทุกวันนี้

ประตูสู่โอกาสอื่นๆ

ถามว่าทุกวันนี้อยู่ได้หรือยัง ก็คงจะตอบว่ายัง เหมือนหมุนเงินเดือนชนเดือนอยู่แต่ก็ดีกว่าช่วงแรกๆ แต่ก็อย่างที่ผมเขียนไปตอนต้นว่าถ้าเรามองเฉพาะตัวเงิน เราคงหยุดไปทำอย่างอื่นที่ได้เงินมากกว่าไปแล้ว ไม่มีเหตุผลเลยที่ต้องมาเหนื่อยมากกว่า แล้วเหมือนเล่นทอยลูกเต๋าเสี่ยงไปเรื่อยๆ เหมือนที่ทำอยู่ทุกวันนี้

แต่งานที่อยู่ตรงนี้มันทำให้เราได้โอกาสมากขึ้น เจอคนมากขึ้น เรียนรู้เรื่องบางเรื่องที่ไม่เคยคิดว่าทำงานอย่างอื่นที่พอทำได้แล้วจะได้ความรู้ชุดเหล่านี้ บางเรื่องเก็บไว้เล่าได้ บางเรื่องเก็บไว้เตือนตัวเองได้สอนตัวเองได้ เจอทั้งสิ่งที่แปลก สิ่งที่น่าตกใจ พูดคุยเจอคนกับคนที่เป็นหน่วยเล็กที่สุด ไปจนถึงคนที่ทำธุรกิจใหญ่โตเป็นหน้าเป็นตาของประเทศแบบไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสนั่งคุยแบบนี้อีกหรือเปล่าในอนาคต

แต่สิ่งที่ได้จากการพบเจอแต่ละอย่างมันก็ทำให้เราเรียนรู้ในหลายแง่มุม ประสบการณ์ได้มันเหมือนจุดแต่ละจุด ที่บางทีอาจยังไม่รู้ว่าวันนี้จะไปยังไงต่อ อาจจะมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ แต่พอได้เจอหลายเรื่องเข้า จุดมันก็มีเพิ่มมากขึ้น บางจุดมันไปเชื่อมโยงกับจุดที่เราเคยมีอยู่แล้วที่ผ่านมา กลายเป็นเส้นประให้เราได้ลองจินตนาการได้ พอที่จะทำให้เราสามารถลากเป็นเส้นตรงเส้นทางของตัวเอง มันอาจไม่ใช่มุมที่ใครต่อใครมองเข้ามาแล้วรู้สึกเป็นงานที่ดีที่ว้าวที่ได้อะไรอย่างที่คิด แต่มันเป็นงานที่กลายเป็นสิ่งที่มีความหมายเฉพาะบุคคล

เพราะบางทีการทำสิ่งที่รัก ที่หลงใหล อาจจะไม่ได้มีความสุขก็ได้ .. งานที่มีความหมายมีคุณค่ากับตัวเรามากกว่า ที่อาจทำให้เรามีความสุข เลยเลือกที่จะไม่ล้มเลิกแล้วเดินทางต่อไป

การเดินทางในอนาคต

ถ้าบอกว่าทำงานมาถึงปีที่ 5 แล้ว จะเดินต่อไปแบบไม่มีแบบแผนก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่สิ่งที่เราคาดหวังอยากให้มันเป็นไปตามนั้นในอนาคตจะเกิดขึ้นหรือเปล่าก็นั่นแหละ เป็นเรื่องที่ต้องก้มหน้าก้มตาทำมันต่อไป บางทีคนอื่นอาจจะไม่เข้าใจเลยในสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ ทำไปทำไม ทำแล้วได้อะไร เสียเวลาไปเปล่าประโยชน์ ให้ถามตัวเองอีกที ปลายทางที่เราคิดไว้มีคนเหล่านั้นอยู่หรือเปล่า ถ้าไม่มีก็ปล่อยวางพวกนั้นไว้อยู่ตรงนั้น อย่าไปแบกขึ้นหลังให้เหนื่อยใจเวลาก้าวเดินไปข้างหน้าเลย

เราไม่จำเป็นต้องแชร์เรื่องทุกเรื่องให้คนอื่นฟังทั้งหมด เลือกเรื่องที่จะพูด เลือกคนที่จะคุย ก็มีผลกับการทำงาน มีผลกับเป้าหมาย แล้วที่สำคัญมีผลต่อสภาพจิตใจของตัวเราเองที่ใช้เดินทางด้วย แต่ก็ต้องอย่าลืมว่าสิ่งที่เราประสบพบเจอและเป็นอยู่ทุกวันนี้ มาจากผลจากการตัดสินใจในอดีตของเราทั้งนั้น พอเราทำพลาดมาแล้ว ก็เก็บไว้เตือนใจ แล้วก็พยายามตัดสินใจให้ดีขึ้นในทุกๆวัน เพื่อที่วันข้างหน้าจะได้เป็นอยู่อย่างที่เราอยากจะเป็น

ทริปไนซ์เดย์สำหรับผมเป็นงานที่มีความหมาย อาจจะมีทุกข์มากกว่าสุข มีท้อมากกว่าสนุก แต่มันก็ทำให้เราเติบโตขึ้นเรียนรู้อะไรหลายอย่างกว่างานอื่นๆ ใครจะไปคิดว่าโปรเจคจบตอนเรียนโทตอนนั้นจะออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน มีคนใช้ต่อเนื่องอย่างทุกวันนี้

และเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องพูด

โดยปกติแล้วเรื่องอะไรที่เราคิดว่าไม่สำคัญ เราก็จะไม่ค่อยเอ่ยถึงมันใช่ไหมครับ ผมก็แบบนั้นเหมือนกัน เรื่องบางเรื่องก็เหมือนสัมภาระในการเดินทาง ยิ่งเราเดินทางไกล ก็อย่าแบกของหนัก เรื่องอะไรที่ปล่อยวางมันทิ้งไปได้ ก็ทิ้งมันไว้อย่างนั้น เดินทางไปข้างหน้าก็ไม่ต้องทนทุกข์แบกมันไว้ ถ้าใครมาบอกว่าเราอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ให้ลองถามตัวเอง คิดพิจารณากับตัวเองให้ดีสักหน่อยว่า ในหนทางข้างหน้า เราคิดว่าใครเป็นคนสำคัญในเส้นทางที่เรากำลังจะเดินไปบ้าง ถ้าคิดแล้วว่ามันไม่มี ก็ปล่อยคนเหล่านั้นพูดไปเถิด

ตลอดทางที่เดินมา 5 ปี มีเรื่องให้เก็บไว้เป็นบทเรียนเยอะพอสมควร แต่ก็ไม่จำเป็นต้องหยิบมันขึ้นมาเล่า เอาไว้สอนตัวเองและใช้เป็นองค์ประกอบนึงของการตัดสินใจในอนาคตก็คงเพียงพอแล้ว.. นี่อาจจะเป็นเรื่องนึงที่ทำให้เราเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นก็ได้นะ

เรียนรู้ที่จะเก็บ เรียนรู้เรื่องที่จะจำเป็นต้องพูด
การเก็บอารมณ์คงเป็นครูสอนใจชั้นดี

แชร์บทความนี้

    แสดงความเห็นของคุณที่นี่

    กรุณากรอกอีเมล์ของคุณก่อนส่งข้อมูล เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีคนมาตอบข้อความของคุณ