เหมือนจะจำได้ว่าเคยเขียนหลายบทความแล้วว่าตัวเองเป็นฟรีแลนซ์มาตั้งแต่เรียนจบป.ตรีใหม่ๆ ส่งเล่มโครงการเสร็จ ก่อนเรียนจบอย่างเป็นทางการได้เดือนนึงก็ได้งานที่แรกเป็นโปรแกรมเมอร์อยู่บริษัทเอเจนซี่โฆษณาแถวสีลม วุฒิภาวะยังไม่มากพอเหมือนใครหลายๆ คนที่เพิ่งเรียนจบก็ไฟแรง อยากที่จะพิสูจน์ตัวเอง แถมตอนนั้นยังได้ค่าตอบแทนสูงกว่าเด็กจบใหม่ทั่วไปพอสมควร ทำให้มีอีโก้ผสมเข้ามาด้วย ก่อนจะทำงานไปสักสองสามเดือน พอผ่านโปรก็เริ่มรับงานฟรีแลนซ์งานแรก
งานแรกเป็นงานจากพี่ในแผนกเดียวกัน รับงานมาแล้วก็แบ่งงานส่วนเล็กๆมาให้ลองทำอีกทอดหนึ่ง จำได้เลยว่าก่อนที่จะได้งานแรก เห็นพี่โต๊ะด้านซ้ายด้านขวาได้งานฟรีแลนซ์ทำกันตลอด เลยอยากจะได้อยากจะทำกับเขาบ้าง เงินเป็นส่วนหนึ่งที่อยากได้งาน แต่เป็นเรื่องรองของความรู้สึกที่ได้ทำงานแรก มันมีความอยากรู้อยากเห็นอยากพิสูจน์ตัวเองว่า “เออ เรานี่แหละก็สามารถทำงานนอกได้” แล้วก็สามารถแบ่งเวลาทำงานประจำได้โดยไม่กระทบกันและกันด้วย
ก่อนได้งานแรกก็พูดคุยกับคนนั้นคนนี้ในแผนกว่าอยากลองทำบ้าง อยากได้งานบ้าง รับไม่แพงมากก็ได้ พูดอยู่อย่างนั้น แสดงออกอยู่อย่างนั้นเป็นเดือนๆ พี่คนนึงเลยปล่อยงานชิ้นเล็กๆมาให้ เมื่อก่อนก็จะเป็นแคมเปญเว็บง่ายๆเชื่อมกับ Facebook App ที่เป็นเหมือนแอปย่อยๆอยู่บน Facebook อีกที เป็นคล้ายๆกับ microsite สมัยนี้ แต่ฝังลงไปอยู่กับในแพลตฟอร์มเว็บของ Facebook เลย ซึ่งสมัยนั้นแบรนด์ต่างๆชอบมาก เพราะทำได้ทั้งเกม ทำได้ทั้งเว็บไซต์ที่แสดงข้อมูลเกี่ยวกับแบรนด์ได้สวยๆ แล้วก็ไม่ต้องยุ่งกับเว็บหลักของแบรนด์เอง เป็นเหมือนหน้าแคมเปญระยะสั้นที่แบรนด์สร้างขึ้นเพื่อให้ลูกค้ามาทำอะไรสักอย่าง แล้วก็ได้อะไรบางอย่างเช่นข้อมูลติดต่อลูกค้ากลับไป
งานแรกที่ได้ทำตื่นเต้นมาก กลับมาจากงานประจำก็นั่งทำงานในโน้ตบุคตัวเองต่อที่บ้าน ทำจนดึกจนดื่น เป็นอย่างนี้อยู่สองสามงาน แรกๆไม่มีปัญหา หลังๆได้งานที่ใหญ่ขึ้นเริ่มช้าบ้าง เพราะประสบการณ์ทำงานของตัวเองยังไม่มาก ทักษะก็ไม่ได้ว้าวขนาดที่รับทำรับจบได้ทุกงาน พอได้งานยาก เริ่มเอางานฟรีแลนซ์มาทำในเวลาทำงานหลัก เวลาชีวิตส่วนตัวเริ่มเพี้ยน ส่งงานแบบฉิวเฉียด แต่คุณภาพก็ไม่ได้ดีมาก ส่งได้แต่ก็ต้องแก้ตามหลังไป ทำให้คนอื่นต้องมาเสียเวลาในส่วนของตัวเองไปด้วย
จนมารู้ภายหลังว่าการได้งานการเป็นฟรีแลนซ์ หรือกว่าจะได้งานสักงานนึงนี่ต้องสร้างความเชื่อใจมากมายขนาดไหน หนึ่งคือทักษะความสามารถต้องทำงานส่วนของตัวเองได้ดีไม่มีปัญหาให้คนอื่นต้องตามแก้หรือทำงานยาก สองคือความรับผิดชอบความตรงต่อเวลา และสิ่งที่สำคัญอย่างสุดท้ายคือวุฒิภาวะที่ต้องเป็นคนมั่นคงเชื่อถือได้คำไหนคำนั้น
ไม่มีใครอยากทำงานกับความไม่แน่นอน โดยเฉพาะคนที่รับงานมาแล้ว รับปากคนอื่นมาแล้ว หรือทำสัญญากันกับลูกค้ามาแล้ว ทุกคนอยากได้สิ่งที่ตรงตามกับที่ตกลงกันไว้ทั้งนั้น เอาเข้าจริงทำงานฟรีแลนซ์มาหลายปี เรามักจะไม่ชอบสิ่ง surprise ไม่ได้อยากโดนยกเลิกงาน (ถึงแม้ว่าจะได้ค่าชดเชย) ไม่ได้อยากดองงาน ไม่อยากได้ค่าตอบแทนช้า เราทุกคนล้วนคาดหวังสิ่งที่ตกลงกันและอยากให้มันเป็นไปตามนั้น
ถึงวันนี้ทำงานฟรีแลนซ์มาน่าจะร่วมร้อยงาน พักหลังโตขึ้นเริ่มแจกงานแบ่งงานให้คนอื่นทำส่วนที่เราไม่อยากเสียเวลาออกไปบ้าง มีการซอยงานแบ่งไปคนนั้นบ้างคนนี้บ้าง แล้วเราก็เห็นเหมือนกับที่เราเคยของานเมื่อวันแรกที่ได้งานแรกเลย คือเราคาดหวังว่าใครคนนั้นจะทำงานออกมาได้ดี อย่างน้อยก็ 80-90% ของสิ่งที่เราคาดหวัง เราอยากให้ทุกคนตรงเวลา อยากให้ทุกคนที่จ้างเป็นมืออาชีพ ติดต่อได้ไม่งอแง มีวุฒิภาวะมองผิดเป็นผิดมองถูกเป็นถูก เพราะมันคือระบบความเชื่อใจ ทำงานกันไปเรื่อยๆก็สนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ
ใครที่ทำงานไม่ดี ไม่ตามที่คาดหวังที่ตกลงกันไว้ ก็ทำงานกันแค่งานเดียว ใครที่ทำดีก็อยู่กันไปอีกนาน งานฟรีแลนซ์กับเพื่อนในวงการที่แบ่งงานกันไปมาแบบนี้จึงเป็นเหมือนความสัมพันธ์ระยะยาว มันเหมือนกับเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย แต่เคยทำงานด้วยกัน งานออกมาดีคาดหวังได้ ก็ทำงานกันต่อไปเรื่อยๆ มีงานก็แบ่งกันปันส่วนกันไปเรื่อยๆ อาจจะเกิดเป็นความผูกพันธ์ยิ่งกว่าเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันหลายปีด้วยซ้ำไป
งานเป็นของคนที่พร้อมทำงาน
มันเป็นเรื่องที่เห็นได้บ่อยมากๆว่าฟรีแลนซ์บางคนมีงานตลอด ไม่เคยมีโปรแกรมว่าง ไม่เคยไปเที่ยวชิลๆ แล้วไม่พกงานไปด้วย กับฟรีแลนซ์อีกพวกที่ต้องวิ่งหางาน ตัดราคาคนนั้นคนนี้เพื่อให้ได้งานมาทำงาน แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่เคยได้งาน เพราะการเป็นฟรีแลนซ์มันเหนื่อยและยากกว่าการต้องทำงานประจำมากนักเลยครับ
ความมีวินัยก็ส่วนหนึ่ง ความรู้ทักษะการทำงานให้ได้ตามที่ได้รับหมอบหมายก็อีกส่วนหนึ่ง แต่สิ่งที่ต้องมีแน่ๆคือ ต้องอยู่กับความเสี่ยง ต้องอดทนบางทีที่เจอผู้ว่าจ้างเอาเปรียบ (ซึ่งมีให้เห็นอยู่บ่อยๆ) ว่าจ่ายช้าบ้าง ไม่ตรงตามสัญญาบ้าง เห็นเป็น party ที่ตัวเล็กกว่าก็โดนบีบบังคับบ้าง ปล่อยปละละเลยบ้าง
บริษัทผมตอนนี้คนที่ทำงานด้วยกันทั้งหมดเป็นฟรีแลนซ์กันทั้งนั้น มีผมคนเดียวที่ทำงานประจำและยังมีรับฟรีแลนซ์งานสอนหนังสือ งานให้คำปรึกษาเรื่องซอฟต์แวร์อยู่ งานหลักไหนที่ได้มาใหญ่ก็ซอยแบ่งกัน กำไรน้อยมาก กำไรแทบไม่มีแต่ก็จะแบ่ง เพราะงานมันทำให้เราสนิทกันมากขึ้น สร้างความเชื่อใจกันมากขึ้น มีปัญหาก็แก้ไขด้วยกันถึงแม้จะไม่ได้ทำงานด้วยกันตลอดเวลาเหมือนพนักงานประจำ มีเรื่องยินดีก็ทานข้าวสังสรรค์กันบ้างเดือนละครั้งสองครั้ง
เราอยากทำงานกับมืออาชีพ ฟรีแลนซ์ที่มีมาตรฐานก็อยากทำงานกับมืออาชีพ เพราะมันเป็นเหมือนคู่เทียบที่ช่วยให้เราพัฒนาตัวเองต่อไปได้ในอนาคต และมันคาดหวังได้ว่าแต่ละคนจะทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มความสามารถโดยที่เราไม่ต้องมานั่งพะวงว่าอีกฝ่ายจะทำงานได้หรือไม่ได้
บางทีเราอาจจะเป็นบริษัทที่รวมตัวฟรีแลนซ์ที่ทำงานได้ดีกว่าบริษัทที่มีพนักงานประจำด้วยก็เป็นได้