วันที่ 19 เดือนกันยา เป็นวันครบรอบที่ทำทริปไนซ์เดย์มาในปีนั้นๆ ปีนี้เป็นปีที่ 6 ที่อยู่กับมันมาตั้งแต่สมัยทำ IS ป.โท ทุกปีก็จะกลับมาย้อนดูเส้นทางที่ตัวเองเดินมาว่าวันนี้มาจากวันนั้นมากน้อยแค่ไหนแล้ว แต่รู้อะไรไหมครับ ถึงแม้ว่าเราจะเดินห่างมาจากจุดเก่าในปีเก่ามากน้อยแค่ไหน มันไม่ได้สำคัญเท่าเราได้เรียนรู้อะไรมาบ้างในช่วงเวลาปีๆนึงที่ผ่านมา เวลาเราเติบโต เราอาจจะเดินออกห่างจากจุดเดิมน้อยมากๆ บางทีเราอาจจะเดินวนไปซ้ายบ้างขวาบ้าง ถอยหลังบ้าง แต่ท้ายที่สุดมันก็คือรอยเท้าของเราที่รู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่เราควรทำและไม่ควรทำต่อจากนั้น
เดี๋ยวนี้ต่อให้ผิดพลาดอะไรทั้งการกระทำและการตัดสินใจ เริ่มมองโลกในแง่ดีขึ้นบ้างละว่าแต่ละอย่างคือสิ่งที่เราได้เรียนรู้ เราอาจจะยอมจ่ายเป็นตัวเงิน หรือยอมเสียเวลามากมายเพื่อให้ตัวเองแค่ได้รู้ว่าสิ่งที่เราค้างคาใจอยู่นั้นมันจะออกหน้าผลลัพธ์มาเป็นยังไง บางทีการเติบโตขึ้นอาจจะไม่ใช่การที่ว่าเราเริ่มต้นที่ตรงไหน แต่อาจจะเป็นที่เราไปได้ไกลแค่ไหนมากกว่า
ช่วงเดือนที่ผ่านมามีงานต่างจังหวัด ต้องขับรถไปกลับรวมประมาณ 7 ชั่วโมง นำเสนอสมาคมท่องเที่ยวที่นึงประมาณ 15 นาทีแล้วกลับ เลยนึกถึงวันก่อนๆ ที่มักจะโดนถามอยู่บ่อยๆ ว่าที่ทำอยู่ทำไปได้อะไร เสียเวลามากมายโดยที่ไม่รู้ว่าจะได้อะไรหรือไม่ได้ บางทีขับไปกินกาแฟ ไปถ่ายรูปเก็บข้อมูลให้ หรือแม้แต่เคยโดนเรียกไปทำทีเหมือนจะให้นำเสนอ แต่แค่เรียกมาเพื่อจะบอกว่าไม่ แค่จะบอกปฏิเสธทั้งๆที่โทรมาบอกก็ได้
แรกๆหงุดหงิดมาก ทำไมต้องเหมือนเอาเวลาไปทิ้ง ทั้งๆที่ตัวเองก็มีเรื่องให้ทำมากมายอยู่แล้ว พอทำบ่อยเข้า ไปที่นั่นนี่บ่อยขึ้นกลับเหมือนมีประโยชน์ การขับรถมองนั่นมองนี่แล้วคิดอะไรไปเรื่อยอยู่เงียบๆนานๆเลยเหมือนได้ reflect ตัวเองบ่อยๆ และก็แน่นอนว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมองเรื่องต่างๆในแง่ร้าย เพราะมันก็ไม่ได้เปลี่ยนผลลัพธ์อะไรอยู่แล้ว และสิ่งที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้ก็มาจากการตัดสินใจในอดีตของเราเองทั้งนั้น .. งั้นจะโทษอะไร?
การสะท้อนตัวเอง หรือการ reflect ชุดความคิดของตัวเอง ผมว่ามันเหมือนกับการที่เราส่องกระจกเงา ที่เวลาส่องอะไรก็ได้แบบนั้น ก็เห็นแบบนั้น มันไม่เหมือนกับคำพูดของคนอื่นที่บอกหรือที่แนะนำเกี่ยวกับตัวเรา หรือรวมถึงการตัดสินใจของเรา ที่คงเปรียบเหมือนกระจกแก้วปริซึม.. ที่เมื่อโดนแสงแล้วสะท้อนกลับหาเราจากหลายมุมมอง มันอาจเป็นมุมมองเพียงบางส่วนจากหลายๆส่วน แต่ไม่ได้ประกอบเป็นมุมมองที่สมบูรณ์เด่นชัดเหมือนกับเรามองตัวเอง
คำที่พูดเกี่ยวกับเราจากคนอื่น รวมถึงคำแนะนำติชมมากมายจึงเป็นเหมือนจุดที่ต่างกันหลายๆจุดในมุมมองของผู้พูดแต่ละคน ซึ่งบางทีเราอาจจะทำได้ ปรับได้ หรืออาจจะทำอะไรไม่ได้เลย เพราะสถานะของผู้พูดไม่ได้เริ่มหรือมีพื้นเพแบบเดียวกับเรา บางทีจุดต่างๆจึงเป็นเหมือนเสียงแทรกซ้อนเกินกว่าที่จะลากเป็นเส้นที่พอจะช่วยนำทางเราได้
6 ปีที่อยู่กับบริษัทนี้มามีเรื่องให้คิด มีเรื่องให้เก็บมาเล่าเยอะกว่าบริษัทซอฟต์แวร์ที่ทำตัวแรกมากโข และแน่นอนว่ามันทำให้เราโตขึ้น ไปได้ไกลขึ้นอย่างที่ไม่เคยจะได้เป็นมาก่อน บางทีปัญหาต่างๆ หรือสิ่งที่ต้องตัดสินใจมากมายอาจจะเป็นแผลหนึ่งที่ติดตัวอยู่กับเรามาตลอด ทุกครั้งที่เวลาเรามองแผลเก่าแผลนั้น ก็อาจจะทำให้เราทำอะไรต่ออะไรในแต่ละวันอย่างรอบขอบมากขึ้น เพื่อที่จะไม่ซ้ำแผลแบบเดิมอีก