บทความที่ 500 ที่เขียนขึ้นในบล็อกของตัวเอง อยากจะเขียนถึงเรื่องที่เจอมาบ่อย และเป็นเรื่องที่กระอักกระอ่วนใจพอสมควร ตั้งแต่ทำสตาร์ทอัพมา 3 ปี ช่วงหลังๆ ที่ต้องออกไปเจอคนนั้นคนนี้ หรือนำเสนองานมักจะเจอเรื่องถูกผิด ความเที่ยงตรง และเส้นสายจนเป็นเรื่องที่แทบจะมองเห็นได้แทบทุกวัน
ผมพยายามจะเก็บเรื่องบางเรื่องที่เข้าใจแต่ไม่อยากเข้าใจเอาไว้กับตัวเองเสมอ อาจจะมีคุยกับคนรอบข้างที่สนิทมากๆบ้างเป็นครั้งคราว ทุกครั้งที่เราคุยเรื่องเหล่านั้นก็มักจะลงเอยด้วยประโยคเดิมๆ ว่า “ทำไมวะ” ทั้งๆที่เราก็พอรู้กันอยู่แล้วว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นยังไง แต่เราก็ยังไม่อยากจะเข้าใจเรื่องพวกนั้นอยู่ดี
ผมเคยได้ยินเรื่องของ Nelson Mandela มาบ้าง กับประโยคนึงที่เคยอ่านเจอ และยังจำได้ดี
“I have fought against white domination, and I have fought against black domination. I have cherished the ideal of a democratic and free society in which all persons live together in harmony and with equal opportunities”
ถ้าเราเรียกร้องความเท่าเทียม ความเป็นธรรม เรื่องทั้งหมดมันควรเริ่มต้นจากเราเองไม่ใช่หรือ ผมเห็นหลายคนออกมาบอกเกี่ยวกับเรื่องการเมืองตอนนี้ในทำนองที่พรรคที่ตนโหวตโดนรังแก โดนทำทุกอย่างแบบจะบี้จะกดให้จม แน่นอนว่าพวกเราต่างไม่ชอบกับการที่เห็นคนอื่นทำอะไรสักอย่างที่ไม่ชอบธรรมกับสิ่งที่เรามี หรือเรามีสิทธิ์ หรืออะไรก็ตามที่แสดงถึงความเป็นตัวตน หรือความนึกคิดของเรา
แล้วทำไมเราถึงยังทำกับคนอื่น ทำไมเราถึงไม่นึกถึงเรื่องความเท่าเทียม ความชอบธรรม ความเที่ยงตรงและความถูกต้อง ถ้าเราเกลียดอะไร ไม่ชอบอะไร เราควรต้องไม่ทำสิ่งนั้นกับคนอื่นไม่ใช่หรือ
ผมว่าตอนที่ตัวเองคุยเรื่องพวกนี้กับคนใกล้ตัว เรามักจะรู้อยู่แล้วว่าตัวเองเปลี่ยนแปลงเรื่องอะไรที่เกิดขึ้นไปแล้วไม่ได้ และไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องมาพูดถึงมันเมื่อมันอยู่เหนือสิ่งที่เราสามารถควบคุมได้ แล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปพูดเสียดายถึงอดีต
แต่บางทีผมว่าเราต้องเข้าใจบางอย่างด้วยเหมือนกัน ว่าถ้าเรากำลังพูดถึงอดีตที่เกิดขึ้นไปแล้ว เราต้องเรียนรู้ว่าเราผิดพลาดอะไร เราจะได้นำเรื่องนั้นไปปรับปรุงแก้ไขไม่ให้มันเกิดขึ้นซ้ำอีกในอนาคต แต่กลายเป็นว่าเรื่องบางเรื่องมันอยู่นอกเหนือความสามารถของเราที่จะเปลี่ยนแปลงเรื่องเหล่านั้นได้ ทางที่สามารถทำได้คือเลี่ยงมันแล้วไปทางอื่น
เมื่อสัก 10 ปีที่แล้วจากวันที่เขียนอยู่นี้ ผมไปสมัครเรียน ป.โท ที่มหาวิทยาลัยนึง ผ่านทุกอย่างมาจนถึงขั้นตอนสุดท้ายคือการสัมภาษณ์ ผมได้รับคำตอบว่า “เด็กไป” นั่นเป็นคำตอบที่จำมาถึงทุกวันนี้ วันนั้นรู้สึกเข้าใจแต่ไม่อยากเข้าใจ เป็นเรื่องที่เราไม่สามารถปรับปรุงแก้ไขอะไรในเวลานั้นได้นอกจากรอ จนท้ายที่สุดผมเลือกเปลี่ยนไปสมัครเรียนอีกที่ และเข้าศึกษาจบออกมาได้
ท้ายที่สุดมันก็เหมือน mindset เราเองที่ต้องเปลี่ยน เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปเรียกร้องโวยวายว่าทำไมๆ ถ้าวันนั้นผูกใจเจ็บดึงดันจะไปให้ได้ จะเข้าให้ได้ ก็คงรู้สึกเสียเวลาเปล่า ก็เป็นเราเองที่เลือกจะทิ้งเรื่องความผิดหวังพวกนั้นไว้ข้างหลัง เก็บเป็นเรื่องเตือนใจและเข้าใจความเป็นไปของโลก ของจิตใจคน แล้วมองไปข้างหน้า ทำตัวเองให้ก้าวผ่านเรื่องไม่เป็นเรื่อง เรื่องที่ไม่ถูกต้อง เรื่องที่คิดว่าไม่เป็นธรรม แล้วเดินผ่านคนพวกนั้นไป
ผมคุยกับคนในทีมเสมอว่ามันจะมีเรื่องบางเรื่องที่เราจะไม่ทำ ถึงแม้มันเป็นเรื่องที่จะทำให้เราสบายขึ้น อยู่ดีขึ้น หรือก้าวไปข้างหน้าได้เร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็นยังไงก็ตาม เราต้องไม่ทำเรื่องที่เราเกลียดหรือเราไม่ชอบกับคนอื่น การเปลี่ยนแปลงมันถึงจะเกิดขึ้นได้
ก็หวังว่าตัวเองจะยังกล้าหาญพอที่จะยึดความถูกต้องนี้ไปเรื่อยๆ หวังว่าตัวเองยังคงเป็นตราชั่งที่เที่ยงตรงในการตัดสินใจเรื่องอะไรต่ออะไรที่จะเกิดขึ้นในอนาคต