ส่วนใหญ่เวลาที่เราได้โอกาสทำงาน เรามักจะตอบรับไปก่อนเพราะเห็นว่ามีโอกาสควรรีบคว้า ดีกว่าไม่มีโอกาสให้ได้พิสูจน์ และก็มีหลายครั้งที่กลับมานั่งคิดนึกย้อนดูดีๆ ก็มักจะมีคำถามกับตัวเองว่า เราตัดสินใจถูกหรือเปล่า คิดถูกหรือเปล่าที่เอางานนั้นมาทำ เพราะบางทีงานนั้นมันอาจจะหนักหนาสาหัสมากๆกับสิ่งที่เรามีเราเป็นตอนนี้ กับอีกแบบคืองานนั้นมันอาจไม่ได้ดูเกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา หรือทางที่เรากำลังจะไป
ปีนึงผมจะต้องเจอเรื่องแบบนี้ครั้งสองครั้ง.. คิดว่ามีโอกาสให้ทำงานก็ควรจะคว้าไว้ ดีกว่าไม่มีโอกาสให้ได้ทำงาน จนพอถึงจุดที่ทำงานนั้นไปลึกแล้ว ลึกจนเหมือนงานนั้นมันสูบเอาเวลาต่างๆไปแทบหมด กว่าจะผ่านวันแต่ละวันดูยากเย็น แทบไม่มีเวลาให้คิดถึงเรื่องอะไรเลยนอกจากการแก้ไขปัญหา บางครั้งมันรู้สึกดี ที่งานมันมีความหมาย ท้าทายความสามารถ ยิ่งถ้าเราผ่านจุด checkpoint มาได้แต่ละช่วงจะเป็นช่วงที่รู้สึกดีมากๆ แต่อีกมุมนึงมันก็รู้สึกเหมือนตกนรก ต้องเร่ง ต้องบีบ และเจอความกดดันจนเหนื่อยจนไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นเลยในแต่ละวัน
ทุกครั้งที่มีความรู้สึกพวกนี้ ผมมักจะถามคนใกล้ตัวที่เห็นเราและงานของเราอยู่ประจำว่าคิดเห็นยังไงบ้าง แน่นอนว่าหลายครั้งคนรอบข้างก็ไม่เห็นด้วย ก็เหมือนกับที่เราถามตัวเองตอบตัวเองว่ามันเกี่ยวกับทางที่เราจะเดินไปข้างหน้ายังไง .. บางทีเราก็เหมือนปลอบหลอกตัวเองว่าเดี๋ยวงานนี้มันจะมาเชื่อมโยงในอนาคต มันจะเป็นประโยชน์เหมือนเราทำที่ทำทางไว้ก่อน เป็นภาพไกลๆที่จะมาพบปะสัมพันธ์แล้วทำให้เราไปไกลขึ้นได้ กับบางทีก็พยายามบอกตัวเองตลอดว่าครั้งหน้าไม่เอาแล้วนะ งานนี้งานสุดท้าย เอาให้เต็มที่ ผ่านแล้วจะได้หลุดพ้น จะได้เก็บเป็นบทเรียนแล้ว move on ไปข้างหน้า
สิ่งที่ทำให้รู้สึกดี
ตอนที่เราไม่แน่ใจว่าตัวเองตัดสินใจผิดหรือถูก แล้วอยู่ในช่วงกึ่งกลางของการทำงาน ผมมักจะชอบถามคนรอบตัวที่ทำงานด้วยกัน หรือเป็นผู้ใหญ่ที่เป็นที่ปรึกษาเห็นเรามาตั้งแต่แรกๆ ก็จะถามไว้ก่อนแล้วจะเอากลับมานอนคิดดูสักคืนว่ารู้สึกยังไง
มีเรื่องนึงที่ผมบอกที่ปรึกษาของบริษัท ว่าเราจะไม่ทำเรื่องบางเรื่องแน่ๆ หรือประมาณว่านี่จะเป็นทางที่เราจะไม่เดินไป อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง หรือได้ผลประโยชน์มาโดยไม่แฟร์ ค่านิยมของผมในการทำงานเป็นแบบนั้น เราจะไม่เป็นขี้ปากใครให้เก็บไปว่าลับหลัง พอค่านิยมเราเป็นแบบนั้น บริษัทเราก็เลยมีค่านิยมเป็นแบบนั้นตามไปด้วย บางครั้งคนที่มีประสบการณ์มากกว่าก็จะบอกเราประมาณไม่เห็นด้วย อะไรทำได้แล้วอยู่รอดก็ทำไปก่อน ปิดตาข้างนึงบ้างก็ได้ แต่เราก็ยังยืนกรานหนักแน่นว่าจะไม่เลือกไป.. ท้ายที่สุดไม่ว่ายังไง จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เขาก็ยังซัพพอร์ตเราอยู่ดีไม่ว่าเราจะเลือกไปทางไหน “อ่ะ ก็แล้วแต่ ก็ลำบากด้วยกันไปอย่างนี้นี่แหละ” นี่แหละคือคำที่อยากได้ยิน.. ในช่วงเวลาที่เราหลงทางหรือผิดพลาด บางทีเราแค่ต้องการรู้ว่าใครบ้างที่จะอยู่กับเราบ้าง ใครบ้างที่จะเดินไปด้วยกันจนสุดทางโดยเชื่อใจในสิ่งที่เรากำลังจะทำ
ก็ถ้าทางนึงมันไม่เวิร์ค เราก็แค่ไปหาทางอื่น
ผลลัพธ์ของทุกงานที่ทำมันอาจไม่ได้เป็นไปตามที่เราคาดหวังจะให้เป็นทุกงานหรอก มันขึ้นอยู่กับว่าเรารู้สึกว่าตัวเองเต็มที่จนไม่เหลือความคิดที่ว่า “ถ้าวันนั้น น่าจะทำมากกว่านี้อีกนิด” แล้ว ก็ถือว่าเราทำหน้าที่ของเราอย่างสุดความสามารถ โดยไม่ต้องไปคิดเสียดายถึงมันอีกละ