ห้องสี่เหลี่ยม

ช่วงนี้เป็นอีกช่วงชีวิตที่วันๆไม่ได้เจอใคร หรือไม่ได้คุยกับใครจริงจังเป็นเรื่องเป็นราว ชีวิตตื่นมาอยู่ในลูปทำงานเก้าโมงเช้าถึงตีหนึ่งอีกครั้ง ภาพจำในแต่ละวันที่คุ้นชินคือภาพห้องสี่เหลี่ยมที่เหมือนกับสองปีที่แล้วไม่มีผิดเพี้ยน การใช้ชีวิตเหมือนกันทุกอย่าง ต่างกันแค่สถานที่

ถ้าไม่นับการทักทายพี่รปภใต้ตึก พูดจาเล็กน้อยกับไรเดอร์ส่งอาหาร ก็แทบจะไม่ต้องใช้บทสนทนาใดๆในการใช้ชีวิตประจำวัน สิ่งที่จำเป็นและทำงานมากที่สุดของร่างกายยังคงเป็นหนึ่งสมองสองมือสองลูกตาที่ขยับเขยื้อนอย่างกับมันทำเพราะเป็นสัญชาตญาณ การใช้ชีวิตแต่ละวันเหมือนมีแม่แบบที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ตื่นมา ทำ X แล้วทำ Y ไปต่อ Z จบวันกลับที่พัก อ่านหนังสือก่อนนอนเพื่อให้สมองหยุดคิดเรื่องฟุ้งซ่านและจะได้หลับลง ไปเจอวันใหม่ที่ประสบการณ์แทบจะไม่ต่างจากเดิม

น่าแปลกที่ตอนเราเป็นเด็ก เราคงทนกับชีวิตที่แสนน่าเบื่อที่ไร้ความสุขแบบนี้ไม่ได้ แต่ทำไมพอเราเริ่มโตขึ้น เรากลับอยู่กับมันได้เหมือนไม่ได้คิดถึงสิ่งที่ตัวเองต้องการ บางทีก็เกิดคำถามอยู่ซ้ำๆเสมอๆว่าสิ่งที่ยึดเราอยู่ในภาวการณ์แบบนี้ ในปัจจุบันนี้ได้คืออะไรกันแน่ มันเป็นสิ่งที่ดีที่จะทำให้เราอดทนต่อปัญหาอุปสรรคที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต หรือมันเป็นสิ่งไม่ดีที่จะทำให้เราเฉยชากับทุกอย่าง หรืออะไรที่กำลังจะเข้ามา

เดี๋ยวมันก็ผ่านไป

แต่ปัญหาคือไม่รู้จะนานแค่ไหนมันถึงจะผ่านไป นี่เป็นคำที่พูดกับตัวเองทุกวัน มองโลกในแง่ดีทุกวันว่าเดี๋ยวเรื่องที่เป็นอยู่นี้มันก็ผ่านไปเหมือนกับเรื่องที่เราเก็บมาคิดเมื่อปีที่แล้ว 3 ปีที่แล้วหรือ 5 ปีที่แล้ว เอาจริงๆบางทีก็อยากจะรู้เหมือนกัน อยากจะหาคำตอบอย่างจริงจัง เหมือนกับที่เราทำเสมอกับเรื่องอื่นๆ แรงจูงใจของเราคืออะไร?

น่าแปลกที่เราเหมือนจะไม่มีความสุข แต่ก็เป็นสิ่งที่เราเรียกร้องที่จะทำ ไม่เคยบ่ายเบี่ยงเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า มันน่าแปลกที่ใจเราอยากจะพอและพัก แต่กลับเหมือนมีอะไรดึงเราไว้เสมอให้เรากลับมาทำต่อ ไม่ยอมปล่อยมือมันเสียที สิ่งนั้นเรียกว่าอะไร แล้วมันเป็นแรงจูงใจแบบไหน.. นี่คือแรงจูงใจของหน้าที่หรือเปล่า?

ข้อดีของห้องสี่เหลี่ยมก็คงจะเป็นการทำให้เราอยู่กับตัวเองมากพอ มากพอที่จะทำให้เราซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเอง บางทีมันก็ทำให้เรารู้ว่าเราเองกำลังคิดอะไรอยู่แน่ๆ มันทำให้เราเช็คกับตัวเองอยู่ตลอดว่าเราต้องการอะไร เรากำลังจะเข้าใกล้อะไร หรือเรารู้สึกยังไง แต่สิ่งที่ยากที่สุดคงอยู่ที่เราจะเปิดรับ หรือยอมรับมันหรือเปล่าเท่านั้นเอง

เมื่อเรามีเวลาจำกัด และมีเรื่องที่ใหญ่กว่าอยู่ในใจ เรื่องทุกอย่างที่เป็นเรื่องเล็กกว่าเรื่องนั้นจะถูกลดทอนความสำคัญไปโดยปริยาย บางทีนี่คงเป็นเรื่องธรรมดาของการที่เราเหมือนเมินเฉยกับเรื่องของคนอื่นที่เข้ามาหาตัวเราในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง

ไม่ใช่เพราะมันไม่สำคัญ แต่มันไม่สำคัญพอสำหรับการเก็บมาใส่ใจในช่วงเวลานั้น

แชร์บทความนี้

    แสดงความเห็นของคุณที่นี่

    กรุณากรอกอีเมล์ของคุณก่อนส่งข้อมูล เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีคนมาตอบข้อความของคุณ