หนังสือหลายเล่มเขียนเอาไว้ว่า เวลาที่ได้อยู่กับตัวเองคือเวลาที่เราใช้เรียนรู้สิ่งที่เราทำทั้งผิดพลาดและไม่ได้ผิดพลาด เวลาที่เราอยู่กับตัวเองใช้ความคิดทบทวนถึงการกระทำในอดีตนั้นไม่ได้หมายความว่าเราจมอยู่กับอดีต หรือลืมอดีตไม่ได้ มันคือการเรียนรู้ว่าอะไรที่เราสามารถปรับปรุงแก้ไขสิ่งที่เราทำ เราตัดสินใจ รวมทั้งสิ่งที่เราไม่ได้ทำด้วย
บางคนอาจจะบอกว่า โอเค ขอใช้เวลาอยู่กับตัวเองวันละ 5-10 นาทีก็พอแล้ว บางคนกลับบอกว่าขอเวลาพักเป็นช่วงที่ไม่ต้องฟังเสียงอะไร ไม่ต้องเจอหรือคุยกับใครสักชั่วโมงก็ทำให้รู้สึกดีขึ้น ผมไม่แน่ใจว่าการใช้เวลามากหรือน้อยนั้นมีผลอะไรยังไงบ้าง บางคนมีวินัยใช้เวลาอยู่กับตัวเองทุกคืนเพื่อนึกถึงสิ่งที่ทำในวันๆนั้น ทำแบบนี้ทุกวันก็อาจช่วยให้เราใช้เวลาอยู่กับตัวเองไม่ต้องมากก็ได้ในแต่ละวัน แต่บางคนชอบใช้เวลาส่วนตัวอยู่กับตัวเองเพื่อวางแผนสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย เขาก็เลยต้องใช้เวลาอยู่กับตัวเองมากหน่อย
การใช้เวลาทำความเข้าใจความรู้สึกตัวเองอย่างจริงจังและซื่อสัตย์เปรียบเสมือนการจัดระเบียบข้อมูลทางความคิด มันก็อาจจะเหมือนกับการทำ defragment ในระบบปฏิบัติการ windows ซึ่งช่วยให้เราเข้าถึงไฟล์ข้อมูลแต่ละไฟล์ในอนาคตได้อย่างรวดเร็วมากขึ้นเพราะข้อมูลถูกจัดเอาไว้เป็นที่เป็นทาง ก็อาจเหมือนกับการทำงานของสมองที่พยายามหาทางลัดเพื่อจัดการข้อมูลที่วิ่งผ่านเข้ามามากมายในแต่ละวัน
ผมชอบเช้าวันอาทิตย์ ชอบโดยไม่ได้หมายถึงวันอาทิตย์เป็นวันพักผ่อน แต่ชอบเพราะเช้าของวันอาทิตย์เป็นเช้าที่สังคมไม่ได้มีความเร่งรีบ คนส่วนใหญ่ต่างพักผ่อนใช้เวลาอยู่บนที่นอนมากขึ้นในสุดสัปดาห์ เป็นช่วงที่หลายสถานที่ลดความจอแจลงไปได้มาก และแน่นอนว่าการใช้เสียงก็ลดลงด้วยเช่นกัน
เมื่อเช้าวันอาทิตย์มีคนน้อย เราก็ได้อยู่กับตัวเองมากขึ้นเพราะมีสมาธิ และไม่ต้องพะวงกับเรื่องอะไรเพราะทุกคนต่างหยุดงาน เช้าวันอาทิตย์เลยเป็นช่วงที่เงียบ ได้ยินเสียงนกร้อง เสียงลมพัดกระทบต้นไม้เกิดเป็นเสียงคลื่นของกิ่งก้านที่ปลิวไหวไปมา มันเหมือนเป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการทำความเข้าใจโลก และจัดระเบียบความคิดตัวเองให้อยู่กับร่องกับรอย
ผมไม่ได้จะทำสมาธิ เปล่าเลย แค่อยากนั่งมองอะไรไปเรื่อยเปื่อย คิดถึงสิ่งที่เคยผ่านมาเมื่อเร็วๆนี้และการตัดสินใจหลายอย่างที่เกิดขึ้นแบบที่เรามั่นใจและไม่มั่นใจทำลงไป
ท้ายที่สุดก็คิดว่าคนเรามีเสรีภาพมากพอที่จะเลือกตัดสินใจอะไรก็ได้ แต่นั่นก็หมายถึงความรับผิดชอบที่เราจะต้องแบก และต้องอยู่กับผลลัพธ์แห่งการตัดสินใจนั้นๆด้วย ความรับผิดชอบมันใหญ่มากพอที่จะควรสำนึกได้ว่าถ้าเราตัดสินใจไปแล้ว และคนอื่นต้องมารับผิดชอบแทน หรือรับผิดชอบร่วมกับการตัดสินใจของเรานั้น เราควรต้องละอายใจที่ใครคนอื่นต้องมารับผลจากการตัดสินใจของเราไหม
หวังว่าการใช้เวลาอยู่กับตัวเองจะช่วยให้เรามีเหตุผลที่สมควรมากขึ้นในการตัดสินใจอะไรสักอย่าง และหวังว่าการใช้เวลาอยู่กับตัวเองจะเหมือนสอนให้เราเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นด้วยในเวลาเดียวกัน