ขอบคุณการเรียน ที่เรียนแล้วไม่เข้าใจ

วันก่อนได้มีน้องๆจากมหาวิทยาลัยเก่ามาสัมภาษณ์ที่ออฟฟิศเกี่ยวกับตอนที่เรียนป.ตรีอยู่ว่าเป็นอย่างไรบ้าง มีอะไรจะแนะนำให้กับเด็กรุ่นใหม่เข้ามาเรียนที่คณะบ้างไหม จริงๆการให้สัมภาษณ์เชิงนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่เพราะเคยให้สัมภาษณ์ตอนป.โทไปแล้วครั้งนึงเมื่อช่วงต้นปีก่อน (บทความ ครบรอบปีที่ 9 – ทำไมแก่แล้วไม่มีอะไรดี?) ตอนที่กำลังเล่าอะไรไปเรื่อยเปื่อยตามคำถามที่ได้รับมานั้นก็ฉุกคิดถึงเรื่องเก่าๆที่สมัยตอนเรียนเรื่องนึง คือเรื่องการเรียนแล้วไม่เข้าใจ

อยากให้ลองถามตัวเองสักนิดนึงครับว่าสมมติเราเรียนไม่เข้าใจ เราจะทำยังไงกันบ้าง? บางคนก็อาจจะเก็บไว้กับตัวค่อยไปหาความรู้ความเข้าใจเอง บ้างก็ปล่อยๆไป บ้างก็เก็บไปเดี๋ยวค่อยให้เพื่อนอธิบายทีหลัง หรือบางคนก็บอกว่าง่ายๆ ไม่เข้าใจก็แค่ถามอาจารย์ไปตอนนั้นแค่นั้น จะไปยากอะไร

“The man who asks a question is a fool for a minute, the man who does not ask is a fool for life.” – Confucius

แต่อย่าลืมนะครับว่าสถานการณ์ตอนนี้ กับสถานการณ์ตอนนั้นมันคนละเรื่องกัน ในวันนี้เราอาจจะคิดแบบนึงเพราะมีวุฒิภาวะที่สูงขึ้น (คิด)ว่าเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเราถึงตัดสินใจไปอีกแบบ แต่ในตอนนั้นที่เรายังเป็นเด็ก และกำลังนั่งอยู่ในห้องเรียน การตัดสินใจอาจจะไม่ได้มองอะไรรอบด้านเหมือนทุกวันนี้

ส่วนใหญ่ผมจะเป็นประเภทถ้ามีคำถามก็จะเก็บไว้ก่อน ถามเพื่อนบ้าง ไปหาใน Google เองบ้างแล้วแต่ว่าขยันมากขยันน้อย แต่มีตอนนึงที่ทำให้ผมนึกขึ้นได้คือการถามในห้องแล้วอาจารย์ตอบกลับมาว่า เราเป็นคนประเภทเข้าใจอะไรยาก หรือบางครั้งเชิงบอกว่าเรา เป็นเด็กที่มีคำถามเยอะ คือมันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ถ้าสถานการณ์ตอนนั้นมีความเร่งรีบ หรือถามระหว่างการสอนทำให้กระทบเวลาที่อาจารย์วางแผนที่จะสอนเอาไว้ แต่ตอนนั้นผมจำได้ขึ้นใจเลยว่าถามตอนเลิกคลาส เป็นวิชาที่เกี่ยวกับฐานข้อมูล ตอนนั้นถามเพราะไม่รู้และอยากเข้าใจจริงๆ เลยถามแบบเอาจริงเอาจัง

ศิษย์ได้ดีเพราะอาจารย์

ผมตั้งใจจะเป็นอาจารย์ครับ วางแผนเอาไว้ว่าครบสัญญากับบริษัทก็จะออกไปเรียนต่อเอก กลับมาเป็นอาจารย์สอนให้ความรู้เด็กๆ รู้สึกว่าตัวเองชอบการสอน ชอบการทำแผนการสอน รู้สึกว่าตัวเองใจเย็นกับการสอนคนอื่นไม่เหมือนกับการทำงานเอง ชอบความรู้สึกที่ว่าความรู้ของตัวเองช่วยให้คนอื่นเข้าใกล้ความสำเร็จส่วนตัวได้ เลยอยากจะหาแม่แบบไว้เรียนรู้ อยากจะหาอาจารย์ที่รักการสอนเป็นแบบอย่าง

การให้สัมภาษณ์เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาก็ทำให้มานั่งนึกถึงตัวเองในวิชาฐานข้อมูล ที่ไม่เข้าใจแล้วอยากจะเข้าใจ พยายามจะถามผู้สอนว่าทำไมอะไรถึงเป็นอะไร แต่กลับได้คำตอบที่ว่าเราเป็นคนเข้าใจอะไรยาก หรือให้ความรู้สึกเป็นตัวถ่วงของห้องก็ทำให้เสียความมั่นใจไปเหมือนกัน ซึ่งท้ายที่สุดแล้วอาจารย์แกอาจจะไม่ได้หมายความเป็นแบบนั้นก็ได้ หรืออาจจะพูดแบบไม่ได้คิดอะไร หรือกำลังเร่งรีบไปทำธุระอะไรต่อก็เป็นได้

แต่มันทำให้เรากลับมาย้อนคิดถึงตัวเองในวันที่ตัวเองอยากจะเป็นอาจารย์สอนคนอื่น เราก็คงไม่ทำหรือพูดแบบนั้นกับคนที่เรากำลังสอน เพราะผลลัพธ์ที่ตามมามันอาจจะแย่กับที่คนที่ฟังเหมือนที่เรารู้สึกตอนเป็นเด็กก็เป็นไปได้เหมือนกัน ซึ่งบางคนอาจจะท้อหมดกำลังใจที่จะเรียนรู้หรือเข้าเรียนเรื่องนั้นไปเลยก็ได้ หรือบางคนอาจจะมีไฟให้ตัวเองทำงานหนักมากขึ้นเพื่อที่จะพิสูจน์ตัวเองไม่เป็น loser อย่างที่อาจารย์ว่าไว้ก็เป็นไปได้

หลังจากจบการให้สัมภาษณ์ไปสักพักก็นึกถึงเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ ว่าถ้าตอนนั้นหยุดยอมแพ้ก็อาจจะไม่ได้ทำงานมาถึงตรงนี้ อาจจะเลือกบ่ายเบี่ยงการเข้าใจเรื่องฐานข้อมูลเหมือนกับเด็กที่บอกตัวเองว่าไม่ชอบเลข เลือกหนีทุกอย่างที่เกี่ยวกับคณิตศาสตร์การคำนวณ บอกตัวเองบอกใครต่อใครว่าเราเป็นคนอ่อนเลข ไม่ชอบเลข ซึ่งกรณีพวกนี้ทุกอย่างมันเป็นไปได้หมดเลย เพียงแค่กับคำพูดเพียงไม่กี่คำจากคนบางคนหรือคนไม่กี่คน

ก็น่าตลก ว่าทำไมเราจะต้องให้คำพูดเหล่านั้นแทบจะมากำหนดอนาคตของเรา

ก็ต้องขอบคุณวิชาฐานข้อมูลที่ทำให้รู้ว่าเรามาไกลจากตรงนั้นวันนั้นได้มากแค่ไหน และขอบคุณที่ทำให้ได้รู้ว่าเราไม่ควรทำอะไรกับใครในแบบที่เราเองก็ไม่ชอบเหมือนกัน.. ถ้าเราเกลียดสิ่งไหน แล้วทำไมเราถึงทำสิ่งนั้นกับคนอื่น สุดท้ายเราก็ไม่ต่างจากสิ่งที่เราเกลียดเลยใช่ไหม

แชร์บทความนี้

    แสดงความเห็นของคุณที่นี่

    กรุณากรอกอีเมล์ของคุณก่อนส่งข้อมูล เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีคนมาตอบข้อความของคุณ