สิ่งที่เรามี.. เราใช้มันอย่างดีที่สุดแล้วหรือยัง?

สิ่งที่เรามีกับเป้าหมายในอนาคตที่เราคาดหวังนั้นอยู่ไกลกันแค่ไหน สิ่งที่เรามีทุกวันนี้นั้นช่วยให้เราสามารถเข้าถึงเป้าหมายได้หรือเปล่า หรือที่เรามีทุกวันนี้ก็เป็นได้แค่ “เรื่อยๆ” ประคองสถานการณ์การใช้ชีวิตในแต่ละวันให้พอไปได้ ไม่ได้ดีขึ้นแล้วก็ไม่ได้แย่ลง คำถามคือ ถ้าเรามีสิ่งที่มีในแต่ละวันพวกนี้ที่เป็นได้แค่ “เรื่อยๆ” ไม่ได้พอถึงเป้าหมายที่เราตั้งไว้นั้นถือว่าเป็นที่น่าพอใจหรือเปล่า?

บางคนก็อาจจะบอกว่าโอเค ไม่แย่ไม่ขาดทุนไม่เสียหายอะไร ประคองอยู่ไปเรื่อยๆจนถึงจุดนึงที่อาจจะมีโชคดีปาฏิหารย์อะไรเกิดขึ้นแล้วค่อยขยับไปคิดอีกทีก็ได้ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น แล้วเราต้องรอไปถึงเมื่อไหร่กัน เมื่อไหร่ที่จะเป็นวันของเรา เมื่อไหร่ที่ความโชคดีที่เกิดจากปัจจัยภายนอกที่เราไม่สามารถควบคุมได้นั้นจะอยู่เคียงข้างเราให้ผลัดเปลี่ยนจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

แล้วเราจะไม่มีปัญหาเรื่องการควบคุมหรอ? เราจะรู้สึกว่าเราสามารถควบคุมการใช้ชีวิตได้หรอจากความคิดเหล่านั้น? หรือเราต้องอยู่กับความคาดหวังและความกังวลไปตลอดว่าเราไม่สามารถควบคุมเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตามเลยในชีวิตได้ เมื่อเราได้แต่หวังพึ่งปัจจัยภายนอกที่ไม่ได้ถูกขับเคลื่อนโดยตัวเราเอง

ถ้าเรารู้อยู่ลึกๆว่าสิ่งที่เรามีทุกวันนี้ ไม่ได้ทำให้เราเข้าใกล้เป้าหมายหรือบรรลุเป้าหมายที่เราต้องการได้ เราจะเสียเวลาทนอยู่กับสิ่งที่เรามีในทุกวันนี้หรือเปล่า? ก็คงไม่.. มันคงแปลกที่เรารู้ทั้งรู้แต่ก็ไม่คิดเปลี่ยนแปลงให้มันดีขึ้นหรือให้บรรลุสิ่งที่เป็นเป้าหมายของเราได้

ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลง
มันก็อาจจะหมายถึงเป้าหมายของเราไม่ได้หนักแน่นพอ

ลองจินตนาการว่าเรามีเงินแสนนึงอยากจะลงทุนในหุ้นให้เงินมันงอกเงยเพิ่มมูลค่าขึ้นมาในอนาคต เราอาจจะไปเลือกดูทำการบ้านตามข่าวอย่างขมักเขม้น เลือกดูหุ้นเป็นร้อยเป็นพันแล้วตัดสินใจว่าตัวไหนที่สามารถเป็นไปได้อย่างที่เราต้องการใช่ไหมครับ มันก็เหมือนกันกับการทำธุรกิจนั่นแหละ

เพียงแต่ธุรกิจอื่นที่มีอยู่ทุกวันนี้มีเป็นหมื่น เป็นแสน หรือเป็นล้าน เราจะทำยังไงให้ธุรกิจของเราขึ้นมาอยู่ที่ 10% 5% 3% หรือ 1% ของธุรกิจอื่นทั้งหมดได้ เราจะต้องทำยังไงเพื่อให้ธุรกิจของเรานั้นมีอะไรที่โดดเด่นน่าสนใจและสามารถดึงดูดคนที่จะเข้ามาลงทุนในบริษัทของเราไม่ใช่ของคนอื่น หรืออะไรคือสิ่งที่เราต้องมีเพื่อพาธุรกิจของเราให้ไปถึงเป้าหมายที่หวังไว้ตั้งแต่แรกเริ่มได้บ้าง

เราคงไม่ได้หวังปัจจัยภายนอก
หรือโชคลางเพื่อให้เกิดขึ้นใช่ไหมครับ..

ถ้าเราหวังปัจจัยภายนอกที่เราไม่สามารถควบคุมได้ นั่นอาจหมายถึงเรามีความกังวลเรื่องการควบคุมผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากภายใน หรือตัวเราเองมากกว่า หรือความจริงเรากำลังปิดบังตัวเองว่าเราไม่มีความสามารถพอที่จะไปถึงเป้าหมายนั้นได้?

do-what-we-have-can-reach-goals

สองสามวันก่อนผมได้เจอพี่ที่ทำงานด้วยกันมานาน ได้มีโอกาสทานข้าวแลกเปลี่ยนกันในวันที่ทุกคนมีอายุเกิน 30 แล้ว ก็คุยกันเรื่องสัพเพเหระการทำงานแต่ละวัน ใครเจออะไรบ้างที่ไม่ makesense ใครทำงานผ่านอุปสรรคอะไรบ้างช่วงที่ผ่านมา แล้วกำลังเจอปัญหาหรือกำลังแก้ปัญหาอะไรอยู่เผื่อคนอื่นสามารถช่วยแชร์ประสบการณ์ที่เคยผ่านมาได้บ้าง

มีเรื่องนึงที่อยู่ในใจมาตลอด 
อาจจะเป็นเพราะช่วงวัยกลางคนที่กำลังสงสัยกับชีวิตหน้าที่การงาน ก็เลยแชร์เรื่องที่กำลังคิดอยู่ไปบนโต๊ะ

สิ่งที่รู้สึกเหมือนเสียเวลาชีวิตมากที่สุดในทุกวันนี้คือการได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เราไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย เราบอกไม่ได้อย่างชัดเจน ว่าเมื่อวานกับวันนี้เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง เรามีพัฒนาการอะไรเพิ่มขึ้นบ้าง หรืองานที่เราทำอยู่ไม่ได้ช่วยทำให้เราเติบโตขึ้น เรามีหน้าที่แค่แก้ไขปัญหาไปวันๆ ซึ่งปัญหานั้นอาจจะไม่ได้มาจากตัวเรา หรือการกระทำหรือการตัดสินใจของเราด้วยซ้ำ

เป็นเรื่องที่ทุกคนเห็นด้วยตรงกัน

พออายุมากขึ้นเราเริ่มรู้สึกได้ว่ากิจกรรมอะไรที่มีความสำคัญและควรให้เวลาในแต่ละวันบ้าง เราคงไม่ทำงานรอหมดไปวันๆ เราคงไม่นอนอยู่บ้านเฉยๆดูทีวีไปเรื่อยเปื่อยอย่างไม่รู้จุดหมาย เราคงไม่เอาแต่นัดเพื่อนคุยกับเพื่อน คิดเรื่องคนนั้นคนนี้ หรือใส่ใจเรื่องรักใคร่เหมือนตอนสมัยวัยรุ่นที่ยังไม่มีภาระอะไรมากเหมือนแต่ก่อน เราเริ่มรู้สึกได้แล้วว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในทุกวันนี้คือ เวลา ที่ผ่านไปเรื่อยๆ ผลของการกระทำ หรือการตัดสินใจอะไรก็ตามของวันนี้ล้วนส่งผลกระทบต่อเราในวันหน้าทั้งนั้น

เวลาคือสิ่งที่คนรวยและจนมีเท่ากันในแต่ละวัน

แต่การใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั้นเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ถ้าเราโกรธคนที่เจริญก้าวหน้าจากการเห็นค่าของเวลาในแต่ละวันมากกว่าคนอื่น เราก็คงเหมือนเป็นคนมีปัญหา เราก็คงเหมือนคนขี้แพ้ชวนตีที่ไม่ได้โทษการกระทำของตัวเองเลย

อาจจะมีคนบอกว่า ช่วยไม่ได้ เลือกไม่ได้ เรื่องที่ทำอยู่ทุกวันนี้ตัวเองรู้ดีว่าไม่ได้ทำให้เกิดการพัฒนามากนัก แต่ก็ไม่หาทางเปลี่ยนแปลง ยกเหตุผลมากมายเพื่อสนับสนุนสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ให้ยังเกิดต่อเนื่องไปเรื่อยๆไม่รู้จะจบเมื่อไหร่ ผมว่าปัญหามันไม่ได้อยู่ที่เวลา มันอยู่ที่เราเองนั่นแหละที่คิดว่าเราไม่สามารถควบคุมสิ่งต่างๆ หรือผลลัพธ์อะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นได้เอง หรือเพราะลึกๆเราไม่ได้เชื่อใจตัวเองเลยว่าจะทำได้ หรือไปถึงเป้าหมายในอนาคตที่คิดเอาไว้ได้

ก็เพียงทำได้แต่ลดเป้าหมายในอนาคตลงมาเรื่อยๆให้เราสบายใจพอเอามือแตะได้วันใดวันหนึ่ง.. นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ตรงไปตรงมาที่สุด แต่ก็ยากที่จะยอมรับที่สุดเหมือนกัน

แชร์บทความนี้

    แสดงความเห็นของคุณที่นี่

    กรุณากรอกอีเมล์ของคุณก่อนส่งข้อมูล เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีคนมาตอบข้อความของคุณ