นี่คงเป็นปีที่ทำให้เราได้เรียนรู้อย่างแท้จริงว่า แรงผลักดันภายใน หรือ passion นี่อาจไม่ใช่ตัวแปรหลักในการทำให้อยากทำงานเหมือนที่ใครพูดกัน แต่เรารู้สึกว่าหน้าที่และความรับผิดชอบนั้นคือของที่แท้จริงกว่า
เมื่อก่อนสมัยทำงานประจำก็มีความคิดว่าที่เราเบื่องาน หมดใจกับการทำงานในแต่ละวัน ไม่อยากตื่นลุกไปทำงานคือเกี่ยวข้องกับ passion ล้วนๆ แต่พอโตขึ้น มาอยู่ในจุดที่ตัวเองไม่สามารถออกจากสิ่งที่ทำอยู่ได้ ก็มานั่งนึกย้อนว่าจริงๆแล้วตัว passion หรือแรงผลักดันภายในเองอาจจะไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดในการ drive เราไปถึงฝั่งฝัน
สมมติเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
ผมคิดว่าการทำธุรกิจอาจจะอาศัย passion อย่างเดียวก็คงไม่ได้ โอเค. หลายคนก็อาจจะแย้งว่าถ้าไม่มี passion ก็อาจจะไม่ได้เริ่มอะไรเลยขึ้นมาถึงวันนี้ อันนี้ผมคงไม่เถียง แต่ส่วนตัวแล้วมองว่า passion ไม่ได้เป็นตัวพาเราไปอยู่ในจุดที่เราต้องการ มันมีพลังไม่มากพอ และมันเสี่ยงเกินไปที่จะเอาธุรกิจมาแขวนผูกไว้กับแรงผลักดันภายในแบบนั้น
กลับกันถ้าเรามองว่าตัวเองมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ เราอาจจะเปลี่ยนมุมมองเรื่องนั้นเป็นอีกอย่างนึงไปเลยก็ได้ คือเราจะคิดถึงความรู้สึกของเราน้อยลง เอาอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องน้อยลง เพราะเรากำลังบอกตัวเองว่าเรามีหน้าที่ และหน้าที่นั้นเป็นสิ่งที่เราต้องทำต้องรับผิดชอบ.. ซึ่งโดยบางครั้งเราก็ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าตัวเองรู้สึกยังไงที่ต้องทำไปตามหน้าที่นั้น
ผมมองว่าเมื่อบริษัทก่อตั้งขึ้นมาแล้ว มันก็เหมือนพันธนาการและภาระผูกพันธ์โดยอาศัยการตัดสินใจของวันนี้ เอาสิ่งที่เรามีในวันนี้ไปผูกกับอนาคตที่ไม่แน่นอนและมีความเสี่ยง มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งแรงผลักดันภายในอาจจะไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้เราก้าวไปข้างหน้า มันเสี่ยงเกินไปกับการตัดสินใจแบบนั้นกับการที่เราบอกตัวเองว่า เราอยากจะทำอะไร เราไม่อยากทำอะไร ส่วนตัวแล้วมันเหมือนกับเด็กที่กำลังตัดสินใจเล่นอยู่ในกระบะทราย คงไม่เหมาะกับชีวิตจริง
ผมเคยอ่านหนังสือเล่มนึงเขียนถึงผู้บริหารมือหนึ่งกับผู้บริหารทั่วไป ผู้เขียนนั้นกล่าวว่าสิ่งที่จะแยกผู้บริหารมือหนึ่งกับผู้บริหารทั่วไปได้อย่างชัดเจนคือการตัดสินใจ การชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงในอนาคตกับโอกาสที่จะเกิดขึ้น โดยทั้งหมดเราต้องตัดสินใจจากทรัพยากรที่มีอยู่ในปัจจุบัน
แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าการตัดสินใจของเราถูกต้อง การตัดสินใจนั้นจะพาเราเข้าใกล้ความฝัน หรือออกห่างจากความฝันจนต้องล้มเลิกไป… ไม่มีทางรู้เลย
เรายังคงมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ มีเป้าหมายที่ต้องการจะไปให้ถึง เราไม่ได้ใช้ความรู้สึกในการบอกว่าอะไรอยากทำ อะไรไม่อยากทำอีกต่อไปแล้ว เราอาจจะลืมความรู้สึกตัวเอง หรือละเลยมันไปเลยจริงๆว่าเรารู้สึกอย่างไรที่ต้องทำงานตามหน้าที่ไป
เราเริ่มเสพย์ติดความสำเร็จ นั่งเฝ้ามองความสำเร็จของคนอื่นแล้วก็คิดว่าเมื่อไหร่สิ่งที่เราทำอยู่จะออกดอกออกผลเกิดเป็นความสำเร็จให้เราเหมือนกับคนอื่นบ้าง คำถามเดียวที่เกิดขึ้นบ่อยๆ คือทุกวันนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ สิ่งที่ทำอยู่ช่วยให้เข้าใกล้ความสำเร็จที่ตัวเองต้องการอยู่หรือเปล่า กี่ครั้งแล้วที่เราต้องใช้เวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง หรือบางทีสิ่งที่อาจจะขวางเรากับความสำเร็จที่ตัวเองต้องการอาจไม่ใช่อะไรเลย. ก็การตัดสินใจของตัวเราเองทั้งนั้น
สรุปแล้วงานมันเปลี่ยนเราเป็นอะไร หรือเราต้องการไขว่คว้าความสำเร็จมากจนลืมว่าเราเคยเป็นอะไร? นี่เป็นการเขียนบล็อกครบ 10 ปี ที่มีงานเป็นส่วนหนึ่งและเป็นส่วนที่ใหญ่ที่สุดของชีวิต งานมันกลายเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเราไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เราละเลยเวลาให้ตัวเองและคนรอบข้างใกล้ตัว จนรู้สึกว่าเราจะถอยกลับมาก็ยากเกินกว่าที่จะใช้เวลาเพื่ออธิบายให้คนเหล่านั้นฟังแล้วด้วยซ้ำ
ปกติผมจะเขียนบล็อกเกี่ยวกับการครบรอบตอนวันเกิดตัวเองพอดี แต่ช่วงหลังๆมานี้เหมือนจัดการเวลาอะไรไม่ได้เลย ทำสิ่งที่ต้องทำทุกวันพร้อมกับเรื่องแทรกเร่งด่วนที่ต้องทำทุกวันจนรู้สึกว่าตัวเองไม่มีระบบระเบียบ เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยอยากให้เกิดขึ้นแต่ก็ต้องอยู่กับมันในทุกวัน เรื่องที่เคยทำเสมอมาเมื่อก่อนอย่างการแพลนสิ่งที่ต้องทำวันรุ่งขึ้น ก็ไม่เป็นไปตามแพลน รู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะล้มเหลวแต่ก็ยังมีผลลัพธ์ เป็นความรู้สึกย้อนแย้งที่ไม่รู้ว่าควรจะต้องรู้สึกอย่างไร
ตามธรรมเนียมคือก่อนจะเขียนบทความครบรอบ ก็จะย้อนกลับไปอ่านบทความสรุปของปีที่แล้ว (ครบรอบปีที่ 9 – ทำไมแก่แล้วไม่มีอะไรดี?) บางทีก็รู้สึกน่าประทับใจที่เราเปลี่ยนแปลงตัวเองมากขึ้น มีผลลัพธ์มากขึ้นกว่าเดิมในทุกปี แต่อีกมุมนึงก็รู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงมันทำให้เราเจ็บปวดขึ้นด้วยในมุมเดียวกัน
ผู้คนส่วนมากก็ตัดสินจากสิ่งที่ตัวเองเห็นเท่านั้น เบื้องหลังเป็นยังไงก็คงเป็นแค่หน้าที่ของผู้ประสบที่ต้องแบกความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ แต่คุณก็ไม่เห็นจะต้องแคร์อะไร ถ้าคนที่ตัดสินคุณเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในส่วนหนึ่งของความสำเร็จของเรา
สวัสดีเลข 3 นี่เรากำลังเดินทางมาถึงจุดครึ่งชีวิตแล้วใช่ไหม แล้วเราค้นพบสิ่งที่เราต้องการแท้จริงแล้วหรือยัง? แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าสิ่งที่เราขวนขวายวิ่งตามหานั้นใช่สิ่งที่เราต้องการจริงๆหรือเปล่า
ก็คงต้องลองดูกัน.. นี่ก็คงเป็นปีที่เร็วและเหนื่อยไปอีกปี