ปี 2020 เป็นปีที่ช่วงแรกผมรู้สึกว่าอะไรๆกำลังจะดีขึ้น ต้นปีรับปริญญา งานที่บริษัทกำลังเข้าที่เข้าทาง เริ่มมีเวลาออกไปจัดทริปขับรถเที่ยวต่างจังหวัดต้นปี และคิดว่าปีนี้จะเริ่มเดินทางมากขึ้น รู้สึกสนุกกับการได้อยู่คนเดียว ออกไปใช้ชีวิตในสถานที่ที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่พอหมดไตรมาสแรก ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป
กดดันตัวเอง
ถ้าพูดถึงเรื่องงาน ผมมักจะเป็นคนที่ค่อนข้างกังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นในอนาคต ถึงตัวเองจะรู้ทั้งรู้ว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรที่ยังไม่เกิดขึ้นได้ แต่ก็ห้ามไม่ให้ตัวเองคิดเผื่อว่ามันจะเกิดหรือไม่เกิดได้ เราเริ่มกลายเป็นคนขี้กังวล เริ่มเตรียมตัวอะไรหลายๆอย่างมากขึ้น โดยเฉพาะกับเรื่องงาน
เดิมทีมีบริษัทเดียวก็หนักอยู่ในช่วงแรก แต่หลังจากทำทุกอย่างเองมาจนเข้าที่เข้าทางและมาถึงปีที่ 4 ที่สร้างขึ้นมาแล้วทุกอย่างก็ดูเบาลง จริงๆมันก็แทบไม่ได้เปลี่ยนอะไรจากวันแรกเสียเท่าไหร่ เรายังคงมีลูกค้าแต่ละปีมากกว่าเดิมนิดหน่อย เราไม่มีออฟฟิศ ผมยังนั่งทำงานส่วนใหญ่จากร้านกาแฟและที่บ้าน และก็ไม่ได้จ้างลูกจ้าง
ความลำบากยุ่งยากเริ่มเปลี่ยนเป็นความเคยชิน เราเริ่มโอเคกับการทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ทั้งส่งเอกสาร รับสายออกไปเจอลูกค้า พัฒนาโปรแกรม ฯลฯ เริ่มเห็นว่าสิ่งที่มุมานะบากบั่นมาตั้งแต่วันแรกเริ่มให้ความรู้บางอย่าง ช่วยให้เราต่างจากคนที่ไม่ได้ทำธุรกิจ เริ่มตอบคำถามหลายเรื่องทั้งบัญชีกฏหมาย มีทักษะของการเป็นผู้ประกอบการ เริ่มมีภูมิคุ้มกันในการตัดสินใจ เริ่มมีมุมมองทางการประกอบธุรกิจที่กว้างขึ้นกว่าเดิม
เรา need อะไรไหม?
เป็นคำถามที่ผมถามตัวเองอยู่ทุกปี บริษัทเราทำอะไร บริษัทเราต้องการอะไร แล้วจะเป็นอะไรในปีต่อไป มันยังคงความตั้งใจเหมือนกับวันแรกที่เราเริ่มบริษัทขึ้นมาหรือเปล่า
ช่วงกลางปีเป็นต้นมาเป็นช่วงที่งานเข้ามาเยอะมาก เยอะจนปัดงานและรู้สึกเสียดาย ประกอบกับเริ่มจริงจังกับอีกบริษัทนึง ไปเช่าพื้นที่ Co-working space เพื่อเข้าไปทำงานในเมืองหวังว่าจะ concentrate กับงานได้มากกว่าทำที่ร้านกาแฟหรือบ้าน ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริง เราทำงานได้ดีขึ้น แต่มันก็ต้องแลกมาด้วยบางอย่างเช่นเดียวกัน
ผมก็เริ่มเข้าออฟฟิศเที่ยง และกว่าจะกลับก็สี่ทุ่มโดยประมาณ เราเริ่มรู้สึกว่าเรามีมนุษยสัมพันธ์น้อยลง เก็บตัวและคิดถึงแต่เรื่องงาน ใครถามว่างทำอะไร ก็ทำงาน ทำอะไรอยู่ ก็ทำงาน รู้สึกเหมือนชีวิตประจำวันไม่มีอะไรเลย มีแต่เรื่องน่าเบื่อ และเหนื่อยกับการทำงาน จริงอยู่ที่เราสามารถสร้างอะไรหลายอย่างได้เยอะมากตั้งแต่กลางปีมา แต่เราก็รู้สึกเหมือน burnout อยู่ตลอดทุกวันทั้งที่เราก็ทำงานให้กับบริษัทตัวเอง..
ช่วงที่ขับรถกลับบ้านตอนดึกๆหลังจากออกมาจากออฟฟิศ จะเป็นเวลาที่ผมได้อยู่กับตัวเอง คุยกับตัวเองถามตัวเองเสมอว่าเราทำอะไรพลาดไปบ้าง เรายังมีอะไรที่ไม่ได้ทำบ้าง เราเริ่มรู้สึกเหมือนเราเป็นหุ่นยนต์ ที่ทำเพราะเป้าหมายตามที่ตัวเองสร้างขึ้น เราเริ่มใส่ใจสิ่งรอบข้างน้อยลง วันทั้งวันเราอาจจะไม่ได้คุยกับใครจริงจัง หรือพูดในแต่ละวันนี่นับประโยคที่พูดได้เลย
แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการนี่? เราไม่ได้อยากจะพบปะผู้คนมากมายแชร์เรื่องประสบการณ์ส่วนบุคคลที่เจอมา เราแค่ต้องการเข้าถึงเป้าหมายส่วนตัวที่สร้างขึ้น อยู่กับความรับผิดชอบ และความก้าวหน้าที่เราคาดหวังว่าจะมีในอนาคตไม่ใช่หรือ?
ความกดดันของตัวเองเริ่มมีมากขึ้น เราเริ่มรู้สึกว่าการมีวินัยนั้นเป็นสิ่งที่ดี และเราเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าความรู้สึกของเราเองทุกวันนี้เป็นของเราจริงหรือเปล่า ทำไมเราถึงมีความทุกข์กับระเบียบกฏเกณฑ์ที่เราสร้างขึ้นมากกว่ามันจะเป็นความสุข มันเหมือนกับเราสร้างกล่องใสมาครอบตัวเองไม่ให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วตั้งมันขึ้นมาว่าเป็นความตั้งใจ, ความรับผิดชอบส่วนตัว แล้วทำตัว proud กับสิ่งที่เรามีอะไรแบบนั้น
ถ้ามันเป็นเรื่องที่ต้องทำ ทุกข์หรือสุขมันก็ต้องทำ ความรู้สึกตอนทำไม่ได้สำคัญอะไร
เราเริ่มได้ความคิดแบบนี้มาจากไหนกัน? ทำไมรู้สึกว่าปี 2020 เป็นปีที่เหนื่อย เป็นปีที่เราขีดฆ่าวันแต่ละวันหรือใส่ความรู้สึกลงไปในแต่ละวันได้เลยว่า “เหนื่อย, “เป็นกังวล”, “มีปัญหาเรื่องการนอน”, burnout, ฯลฯ” รู้สึกว่าการใช้ชีวิตแต่ละวันไม่ค่อยสนุกเลยอย่างที่มันควรจะเป็น
ก้าวสำคัญ
ปี 2021 เป็นปีที่เราคาดหวังว่าความเจ็บปวดที่ผ่านมาในปีนี้จะช่วยคืนทุนให้เราสบายใจอะไรขึ้นมาได้บ้าง งานที่เราทุ่มใส่ลงไปและแลกอะไรต่างๆมากมายในปีที่ผ่านมาจะส่งผลให้เรารับรู้ถึงความคุ้มค่าที่ต้องเสียอะไรบางอย่างไป เราไม่อยากคาดหวังผลลัพธ์ในอนาคต แต่เราก็มีความหวังอยู่เต็มเปี่ยมว่ามันจะต้องมีอะไรดีกว่าปีนี้
เราไม่รู้หรอกว่าความกังวลนี้มันจะหมดไปเมื่อไหร่ เราจะต้องเหน็ดเหนื่อยตรากตรำสิ่งที่ทำอยู่ไปอีกนานแค่ไหนกว่ามันจะมีอะไรย้อนกลับมา แต่เราก็ยังเชื่อว่าหน้าที่และความรับผิดชอบนั้นมาก่อนแรงผลักดันภายใน หรือ passion แล้วในตอนนี้
ก็คาดหวังว่าตัวเองจะเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นจากสิ่งที่เราทำ ไม่ใช่สิ่งที่เรานึกเองขึ้นมาว่าเราจะเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นจากการที่ไม่ได้ทำอะไร หรือไม่ได้ลงมือปฏิบัติหรือได้บทเรียนอะไรเลย
ผมว่ามีหลายคนเข้าใจผิดกับการอยู่คนเดียวและความเหงา สำหรับผมแล้วการอยู่คนเดียวไม่ได้ทำให้เหงานะ การที่ต้องอยู่ท่ามกลางคนที่ไม่ใช่ต่างหากนั่นแหละที่ทำให้เหงา