ช่วงที่ทำงานหนักมากและรู้สึกเหนื่อยมากนี่หลายคนก็มักจะคิดว่าหัวถึงหมอนก็น่าจะหลับลงได้ง่าย แต่ความจริงแล้วเปล่าเลย ทุกวันนี้เหมือนรู้สึกต้องแบกความรู้สึกตัวเองกับเรื่องภายนอกไว้ในหัวทุกคืน ทุกครั้งที่หลับตาลงสั่งให้ตัวเองพยายามนอน สมองก็คิดไม่พ้นเรื่องหนักใจหลายอย่างจนทำให้การนอนในแต่ละคืนเป็นไปด้วยความยากลำบาก จนเราเริ่มรู้สึกว่าการนอนในทุกคืนเริ่มจะเป็นเรื่องค่อนข้างทรมานไปแล้ว
คิดไปก็เปล่าประโยชน์ ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น หรือช่วยให้เรื่องอะไรผ่านไปง่ายขึ้น ก็รู้อยู่แก่ใจแต่ก็อดคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ดี จนเริ่มเข้าใจบ้างแล้วว่าสุดท้ายแต่ละคนที่มีปัญหาด้านการนอนมีเทคนิคเฉพาะแต่ละคนอย่างไรเพื่อให้ผ่านคืนแต่ละคืนไปได้ บางคนเลือกที่จะดื่มบ้าง บางคนเลือกที่จะหันไปทำสมาธิบ้าง บางคนเลือกที่จะใช้ยาช่วยให้การนอนหลับเป็นไปได้ง่ายขึ้นบ้าง แต่ท้ายที่สุดแล้วเรื่องต่างๆ ก็จะกลับมาใหม่แบบนี้ทุกคืนเหมือนกับการติดอยู่ในวังวนที่พยายามหาทางออกกันอยู่
เมื่อเลือกที่จะได้ทุกอย่างไม่ได้
มันก็เหมือนเป็นเรื่องของการบริหาร ซึ่งเราเองก็ต้อง trade off บางอย่างเพื่อแลกกับบางอย่าง มันไม่มีทางที่เราจะได้ทุกอย่างได้ดั่งใจตัวเอง หรือได้ดั่งใจคนอื่น หลายคนที่อยู่ภายนอกอาจจะไม่เข้าใจ หรือไม่พยายามเข้าใจว่าเหตุผลใดเราถึงทำตัวเมินเฉยละเลยเรื่องบางอย่าง เหตุใดเราต้องเปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยเป็น แล้วตีความไปต่างๆนาๆว่าเราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้โดยปราศจากข้อเท็จจริง
ความจริงจากจิตใต้สำนึก นั้นอาจต่างกับความจริงที่อุบัติขึ้นจริง
ตรงนี้เองที่เราเริ่มเข้าใจ และพอตีความได้ว่าคนดังกล่าวที่ตัดสินเรานั้นมีความรู้สึกนึกคิดอย่างไร มันเหมือนกับการแทนค่าในช่องว่าง แต่ช่องว่างนั้นเป็นสิ่งที่เราไม่รู้ หรือไม่รู้ว่าเราไม่รู้ (unknown unknown) และช่องว่างที่เรากำลังจะแทนค่าลงไปนั้นเอง คือช่องว่างที่ทำหน้าที่ตัดสินคนอื่นทั้งที่ยังไม่รู้คำตอบว่าจริงหรือไม่จริง
ลองจินตนาการดูว่าคนที่ไม่ได้มองโลกในแง่ดีจะแทนค่าอย่างไร เราเคยมีเพื่อนที่คิดแทนสิ่งต่างๆรอบตัวอยู่ตลอดเวลาไหมว่า ไอ้นั่นมันไม่ดีอย่างนั้นไม่น่าจะดีอย่างนี้ เดี๋ยวเขาคนอื่นก็ทำแบบนั้นไม่ดีกับเรา เดี๋ยวมันจะโกงอย่าปล่อยให้มันได้โอกาส เดี๋ยวฟ้าฝนอากาศไม่ดี ไม่มีอะไรเป็นใจ ฯลฯ การแทนค่าในช่องว่างนั้นก็แทบจะไม่มีทางเป็นเรื่องดีได้
และเพราะ..มันมีเรื่องให้กังวลมากเกินไป
เพราะมันมีเรื่องให้คิดกังวลมากเกินไปแล้ว และเราเองจะต้องเลือกบางอย่างที่สำคัญเอาไว้จริงๆ จนไม่สามารถไปกังวลเรื่องอื่นได้อีกว่าใครจะคิดกับเราว่าอะไร เมื่อคุณเองเลือกที่จะไม่อธิบาย คุณก็ต้องยอมรับกลายๆด้วยว่าสุดท้ายแล้วเรื่องนั้นคุณอาจจะต้องตกเป็นผู้ร้ายโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย หรือไม่ได้มีเจตนา หรือไม่ได้รับรู้เรื่องอะไรแบบนั้นเลย
แล้วสุดท้ายคุณก็มารู้ทีหลังว่าใครต่อใครต่างวิจารณ์ตัดสินคุณไปแล้วต่างๆนาๆ คุณเริ่มคิดว่าการพูดอธิบายไปก็สายไปแล้ว เราโดนติดฉลากแปะไว้ว่าเราเป็นแบบนั้นแบบนี้จากคนที่ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับเราจริง หรือบางครั้งก็ไม่ได้สนทนากันสักประโยคเลยด้วยซ้ำ เราโดนติดฉลากไปแล้วจากความจริงจากสิ่งที่ใครบางคนคิดและทึกทักไปเองว่าเราเป็นคนแบบนั้น
คุณก็ได้แต่คิดในใจ ว่าเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมามันไม่ใช่เรื่องส่วนตัวอะไร มันเป็นเพียงสิ่งที่คุณเลือกที่จะไม่ให้ความสนใจเพราะตอนนั้นคุณมีเรื่องที่ใหญ่กว่าให้สนใจและต้องจัดการให้เรียบร้อย แต่อย่างที่กล่าวไปว่าการอธิบายในตอนหลังนั้นคุณเห็นว่ามันแทบจะไม่มีประโยชน์อะไร มันใช้เวลามากเกินไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่องที่คุณเองยังไม่รู้ด้วยว่ามันเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นได้ยังไง
แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวอะไรระหว่างคุณกับคนอื่นนี่
มันเป็นเพียงความจริงที่ไม่จริงที่เกิดจากคนอื่น แล้วทำไมคุณจะต้องมาพยายามอธิบายเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทั้งๆที่คุณเองก็มีเรื่องให้คิดเยอะจนนอนไม่หลับอยู่แล้วด้วยล่ะ
ที่พี่เคยเป็น … เมื่อพี่เลือกที่จะไม่อธิบาย นั่นหมายถึงยอมรับผล และเมื่อผลของสิ่งนั้นไม่ได้สำคัญอะไรกับชีวิตเรา ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเอาเรื่อง/คนเหล่านั้นมาคิด (บนโลกนี้มีไม่กี่คนหรอกที่เข้าใจเรา ซึ่งเราก็ไม่ได้ต้องการให้คน 7 พันล้านคนมาเข้าใจเรา)
แต่อีกมุม ถ้าเรื่องนั้นสำคัญมากพอ หรือกวนใจเราไม่หยุด ก็จะเคลียร์ที่ต้นเหตุให้จบ (หาต้นเหตุจริง ๆ ให้เจอ 5 Whys analysis เลย 555) เพราะวันใหม่ก็จะต้องมีเรื่องใหม่เข้ามาให้คิดเยอะอยู่แล้ว
จริง ๆ พีเข้าใจหลักคิดพวกนี้ดีอยู่แล้ว ก็แค่ฝึก
ขอบคุณครับพี่ดา 😄