“ผมถามลูกๆ ว่าวีรบุรุษกับคนขี้ขลาดต่างกันตรงไหน ความปอดแหกกับความกล้าต่างกันตรงไหน คำตอบคือไม่ต่างกันเลยยกเว้นสิ่งที่คุณทำ คนสองประเภทนี้รู้สึกเหมือนกัน พวกเขาต่างกลัวตายและกลัวเจ็บ เพียงแต่คนปอดแหกจะไม่ยอมเผชิญหน้ากับสิ่งที่ต้องเผชิญ ส่วนคนกล้าควบคุมตัวเองได้ดีกว่า เขาเอาชนะความกลัวเหล่านั้นและทำสิ่งที่ต้องทำ ทั้งวีรบุรุษกับคนขี้ขลาดต่างรู้สึกเหมือนกัน ทว่าคนอื่นที่มองคุณอยู่ จะตัดสินคุณจากสิ่งที่คุณทำ ไม่ใช่สิ่งที่คุณรู้สึก” – คัส ดามาโท โค้ชมวยระดับตำนาน
ผมคิดว่านี่เป็นหนึ่งในคำพูดที่ผมชื่นชอบมากที่สุดตอนนึงของหนังสือเล่มใหม่ที่ผมเพิ่งอ่านจบไปไม่นาน หนังสือเล่มนี้ชื่อว่า The hard thing about hard things (แปลไทยชื่อ เมื่อไม่มีเส้นทางที่ง่ายในการทำธุรกิจ) ของผู้เขียน Ben horowitz ซึ่งเป็น CEO มากประสบการณ์ ผ่านร้อนหนาวทุกช่วงในการพาบริษัทไปถึงจุดที่สามารถขายต่อให้กับบริษัท HP มูลค่ามหาศาล และจุดที่ต่ำสุดจนแทบจะเรียกได้ว่าไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้
หนังสือเล่มนี้สอนอะไรกับคนที่เพิ่งสร้างธุรกิจได้หลายอย่าง เขียนในมุมมองคนมีประสบการณ์ ซึ่งเคยพบและผ่านช่วงเวลาหลายอย่างในการสร้างบริษัทหลายหัวข้อ และด้วยสไตล์การเขียนที่ตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อมใช้หลักการหรือทฤษฏีให้เปลืองบรรทัดเหมือนหนังสือเล่มอื่นๆ ที่กว่าจะเข้าจุดไฮไลท์ก็ปาไปหลายย่อหน้า หนังสือเล่มนี้เล่าขึ้นมาตรงๆ แบบตรงไปตรงมามากเหมือนโดนหมัดตรงไม่มีหมัดแย็บ
The hard thing about hard things เป็นหนังสือแปลไทยอ่านง่าย 300 กว่าหน้า ซึ่งอ่านได้เพลินๆ ตั้งแต่บทแรกที่จะเกริ่นนำประวัติคร่าวๆ ของผู้เขียนก่อนว่าทำอะไรมาบ้าง ตั้งแต่แรกสุดไปจนถึงขายบริษัท โดย Ben จะเล่าอย่างหมดเปลือกเลยว่าเมื่อถึงช่วงเวลานี้ เราในฐานะเจ้าของบริษัท หรือผู้ประกอบธุรกิจควรจะต้องทำอะไร มีตัวเลือกอะไรบ้าง ไล่ไปตั้งแต่เรื่องของหุ้นส่วน นักลงทุน วิธีการบริหารพนักงานทั้งรับเข้าและไล่ออก การต่อรอง ไปจนถึงการตัดสินใจในช่วงเวลาที่ยากลำบากหลายอย่าง
อ่านแล้วให้ความรู้สึกเหมือนมีพี่เลี้ยงมาคอยไกด์เราก่อนล่วงหน้าไกลๆ ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นในอนาคตกับบริษัทที่เราบริหารอยู่ เราควรจะต้องเตรียมการอย่างไร และอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง มันอาจจะไม่ได้ช่วยอะไรเราตรงๆหรอก เพราะปัจจัยแวดล้อมในการทำธุรกิจต่างกัน แต่มันช่วยให้เราเริ่มคิดถึงเรื่องบางเรื่องที่เราไม่เคยนึกถึงมาก่อนล่วงหน้า ทำให้เราคิดไปก่อน หรือเผื่อเอาไว้ว่าวันใดวันหนึ่งอาจจะพบเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน แต่เราก็เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้บ้างแล้ว
สำหรับผู้ประกอบการ หรือคนที่มีบริษัทกำลังเริ่มธุรกิจเองแล้ว หนังสือเล่มนี้น่าจะโดนใจและรู้สึกได้เลยว่ามันค่อนข้างเกี่ยวข้องกับเรา ทำให้เรารู้สึกอินไปกับการเล่าเรื่อง และปัญหาต่างๆ ที่เขียนมาส่วนใหญ่ แต่สำหรับคนที่ไม่ได้ประกอบธุรกิจอะไรก็น่าจะได้เรื่อง mindset ในการจัดการผู้คน และเทคนิคการตัดสินใจที่ดีด้วยในแต่ละตอน
นี่เป็นหนังสือที่ผมโน้ตเอาไว้เยอะมากหลายหน้า และตอนที่ผมชอบมากที่สุดของหนังสือเล่มนี้ก็พูดถึงเรื่องของความยากลำบากในการทำธุรกิจ อย่างเช่น “ความยากลำบากคือตอนที่คุณรู้ว่าคุณกำลังทำสิ่งที่เกินกำลัง แต่ก็รู้ด้วยว่าไม่สามารถให้คนอื่นทำแทนได้” หรือ “ความยากลำบากคือตอนที่คุณลาพักผ่อนเพื่อจะรู้สึกดีขึ้น แต่คุณกลับแย่ลง”
แล้วก็ทิ้งท้ายว่า “ความยากลำบากคือสิ่งที่แบ่งแยกผู้ใหญ่ออกจากเด็กน้อย หากคุณต้องการความยิ่งใหญ่ ความยากลำบากก็เป็นความท้าทายที่คุณต้องเผชิญ แต่หากคุณไม่ต้องการความยิ่งใหญ่.. คุณก็ไม่ควรก่อตั้งบริษัทตั้งแต่แรก
หลายประโยคเลยที่ทำให้ผมอยากอึดสู้ เป็นกำลังใจให้ไม่ยอมแพ้อุปสรรคที่กำลังเข้ามาหรือที่ผจญอยู่ได้เป็นอย่างดี สำหรับผมแล้วหนังสือเล่มนี้ควรค่ามากแก่การอ่านและเก็บเอาไว้ มันช่วยให้เราเห็นความจริงอย่างตรงไปตรงมาแบบตรงปก ไม่ใช่การวาดฝันว่าเรากำลังจะเจออะไรในอนาคต