ทำงานวันหยุด.. ขยัน หรือใช้เวลาไม่เป็น

ช่วงเทศกาลหยุดยาว ใครหลายคนมักจะออกเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัด และผมเองมักจะถูกถามอยู่บ่อยๆ ทุกช่วงวันหยุดเลยว่าไปเที่ยวไหน ซึ่งส่วนใหญ่ก็มีแต่คำตอบเดิมๆ ทุกครั้งจนคิดว่าคนที่ถามน่าจะพอรู้คำตอบอยู่แล้วก่อนถาม.. “ไม่ได้ไปไหน ทำงานครับ

คือจริงๆ คำถามที่เกิดขึ้นมานั้นมันอาจจะเป็นแค่คำทักทายแทนที่จะเป็นประโยคคำถามจริงๆก็ได้ พอดีนึกถึงบทความนึงที่เคยได้อ่านเมื่อเดือนที่แล้วเขียนว่า การที่เราทักคนรอบข้างใครก็ได้ด้วยประโยคง่ายๆ หรือประโยคที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น หรือประโยคที่ไม่จำเป็นต้องถามเช่น ซื้อของเสร็จ อาจจะพูดกับแม่ค้านิดหน่อยอย่าง “วันนี้ร้อนนะป้า” ซึ่งก็แล้วแต่ว่าแม่ค้าจะตอบอะไรกลับมา

การสร้างบทสนทนาเล็กน้อยเหล่านี้จะช่วยป้องกันไม่ให้เราเกิดโรคซึมเศร้า และรักษาการมีสัมพันธ์ของเรากับมนุษย์คนอื่นเอาไว้ คนที่ทำงานประจำ หรือทำงานออฟฟิศพออ่านถึงตรงนี้แล้วคงรู้สึกว่า “มึงจะเขียนขึ้นมาทำไม วันนึงกูได้คุยกับใครต่อใครหลายคนจนไม่อยากจะคุยอยู่แล้ว” แต่นั่นไม่ใช่กับฟรีแลนซ์ที่บ่อยครั้งทำงานคนเดียว และแทบจะไม่ค่อยได้คุยกับใครเลยในแต่ละวัน กรณีนี้อาจจะรวมผมเข้าไปด้วยในบางครั้ง และมันก็เป็นเรื่องที่อยากจะหยิบมาเขียนในบทความนี้

weekend

เวลาการทำงานของฟรีแลนซ์มักจะกลับตาลปัตรกับมนุษย์ออฟฟิศอยู่พอสมควร ถึงแม้ว่าฟรีแลนซ์เราจะมีเวลาที่ต้องทำงานช่วงกลางวันที่อาจจะไม่ใช่ 9to5 หรือ 10to6 เหมือนพนักงานประจำส่วนใหญ่เขาทำกัน และบางทีการทำงานกลางวันตามช่วงเวลาปรกติมันก็มีข้อดี-ข้อเสียปะปนกันไปเหมือนกับทำงานตามใจช่วงกลางคืน ที่เห็นได้ชัดเลยคือถ้างานไหนต้องทำงานร่วมกับองค์กร หรือผู้ว่าจ้างที่ทำงานตามเวลาทำงานปรกติ ช่วงที่นอกเหนือจากเวลา 9to5 หรือ 10to6 ส่วนใหญ่แล้วมักจะไม่ได้รับคำตอบ หรืองานจะเดินต่อไม่ได้ เพราะเป็นช่วงเลิกงาน แล้วคนทำงานแต่ละคนก็อยากจะมีเวลาส่วนตัวเป็นของตัวเองบ้าง

จะทำงานช่วงกลางวันเวลาปรกติก็ต้องถูกรบกวนด้วยอีเมล์ ข้อความไลน์ หรือสายเข้าทำให้การทำงานในแต่ละช่วงทำได้ไม่ต่อเนื่องเหมือนกับการทำงานในช่วงเวลาเลิกงาน หรือช่วงกลางคืน

ประเด็นคือหากเราทำงานที่ไม่ตรงกับเวลาของคนทำงานบริษัททั่วไปเนี่ย เราจะจัดการเวลาต่างๆ เพื่อให้ได้ productivity สูงสุดได้อย่างไร ต้องทำงานแบบไหนถึงจะสามารถทำงานได้ต่อเนื่องเข้าสู่ flow state หรือใช้แต่ละช่วงเวลาให้ผลิตงานออกมาได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ ท่ามกลางสภาวะที่มีโอกาสเกิดการรบกวนได้อยู่ตลอด

คำตอบคือไม่น่าจะได้ครับ

บทความ Work With Distractions, Not Against Them เขียนเอาไว้น่าสนใจ ซึ่งผู้เขียนบทความดังกล่าวเขียนไว้ว่า ถ้าเรารู้ว่าการทำงานมีโอกาสถูกรบกวนได้ตลอด เราควรเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับมัน ไม่ใช่ต่อต้านหรือพยายามจะขจัดมัน ไม่งั้นก็ไม่มีทางได้ทำงานสักทีถ้ามัวแต่หาวิธีขจัดมันอยู่ตลอด ในนั้นมีประโยคนึงที่ผมชอบมาก เขียนว่า คุณสามารถเพิกเฉยกับอีเมล์ การแจ้งเตือนต่างๆ ที่เข้ามาระหว่างทำงานได้ แต่ไม่มีทางที่คนเป็นแม่จะเพิกเฉยต่อลูกที่กำลังร้องเรียกได้

ถ้าเราทำงานภายใต้สภาวะไหนก็ได้ จะร้านกาแฟที่เสียงดังคนเดินผ่านไปมา แต่เราสามารถโฟกัสอยู่กับงานที่มีตรงหน้าโดยไม่วอกแวกสนใจสภาวะรอบข้าง หรือสามารถหยิบโน้ตบุคขึ้นมาทำงานในโรงเรียนสอนดนตรีที่มีเด็กวิ่งเล่นไปมา หรือจะเสียงเพลงตีกันวุ่นวายให้น่าหงุดหงิดใจได้ ยังไงเราก็ได้งานตามที่วางเป้าหมายเอาไว้

วันหยุดยาวถือเป็นอีกช่วงนึงที่เป็น golden period ของผมเลยก็ว่าได้ เพราะจะไม่มีอีเมล์ ข้อความไลน์ หรือโทรศัพท์ที่มาจากลูกค้าเวลาเรากำลังใช้สมาธิคิดวิธีแก้ปัญหาของงานแต่ละงาน อีกทั้งสามารถทำงานได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงเวลาที่ใช้ในแต่ละช่วงมากนักเพราะมันเป็นวันหยุด ใครๆ ก็หยุด เราทำงานในวันหยุดก็เหมือนเรากำลังใช้เวลาส่วนตัวของตัวเองทำงานอยู่ แน่นอนว่าความรู้สึกมันไม่เหมือนกับการโดนกดดันจากการทำงานในช่วงวันธรรมดาปรกติ อันนี้ไม่รู้คนอื่นเป็นกันไหม

หรือจริงๆแล้ว บางทีวันหยุดยาวอาจจะไม่ได้ต่างอะไรกับการทำงานในวันธรรมดาทั่วไปก็ได้ มันอาจจะเป็นแค่การคิดไปเอง หรืออาจจะเป็นแค่ความรู้สึกหนึ่งที่คนทำงานในวันหยุดต่างคิดกันไปว่าเราจะได้งานมากกว่า productivity เราสูงกว่า เพราะเรากำลังใช้เวลาส่วนตัวของตัวเองทำงาน ซึ่งต่างกับคนหมู่มากที่หยุดและใช้เวลาในเรื่องส่วนตัว ซึ่งเอาจริงๆ มันก็ไม่น่าจะฟังดูเป็นเรื่องที่ดีเท่าไหร่ เพราะถ้าทำติดต่อกันไปเป็นเวลานานๆ เราอาจจะแยกไม่ออกในตอนหลังก็ได้ว่า เวลาไหนควรจะเป็นเวลาส่วนตัว และเวลาไหนควรเป็นเวลาทำงาน เหมือนกับ work-life balance มันพังปนเปกันไปหมด

สุดท้ายเราอาจจะพบว่าเรากำลังใช้เวลาทุกเวลาที่มี ให้หมดไปกับการทำงานจนได้
เหมือนกับที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ 😥

แชร์บทความนี้

    แสดงความเห็นของคุณที่นี่

    กรุณากรอกอีเมล์ของคุณก่อนส่งข้อมูล เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีคนมาตอบข้อความของคุณ