เคยไหมครับเวลาขับรถในเส้นทางที่เราไม่เคยไปหรือยังไม่คุ้นเท่าไหร่ แล้วต้องเจอทางแยกซ้ายขวาให้ตัดสินใจในเวลาอันใกล้ คือถ้าเราเปิด Google Maps ขึ้นมาดูทางไปด้วยก็อาจจะไม่ล่กลั่กเท่าไหร่ แต่ถ้าไม่มีตัวช่วยหรือป้ายบอกทางอะไรเลยแล้วต้องตัดสินใจในเร็วๆ นั้นก็อาจจะเป็นปัญหาไม่น้อย
สำหรับกรณีขับรถ มันอาจจะไม่ได้ส่งผลอะไรตามมามากจากการตัดสินใจที่เราเลือก ถ้าเลือกทางถูกก็ดีไป ไม่เสียเวลาในการเดินทาง แต่คือถ้ามันผิด ก็แค่ไปกลับรถมาหรืออะไรก็ตามเพื่อให้มาอยู่ที่ทางแยกนี้ใหม่แล้วเลือกอีกทางหนึ่งแค่นั้นก็จบ (ถ้าไม่นับเวลาที่ต้องเสียไปกับการย้อนกลับมาแยกนี้)
แต่ประเด็นคือชีวิตเราบางช่วงมันก็ไม่ได้เหมือนกับการขับรถแล้วตัดสินใจเลือกเส้นทางนี่สิ ถ้าการตัดสินใจช่วงเวลาที่สำคัญในชีวิตนั้นมีเครื่องนำทาง หรือผู้ช่วยคอยแนะนำไม่ให้เกิดความผิดพลาดเหมือนขับรถแล้วมี Google Maps นี่ก็คงดีไม่น้อย เราเองคงไม่ต้องเสียเวลาจมอยู่กับผลลัพธ์ที่ตามมา หรือใช้เวลาเพื่อแก้ไขมันให้ถูกต้องอย่างที่ควรจะเป็น
บางครั้งเราก็ยืนอยู่ที่ตรงทางแยกวันแล้ววันเล่า เลือกไม่ได้เสียทีว่าจะตัดสินใจไปทางไหน ครั้นจะอยู่ตรงนี้นานก็ไม่มีอะไรดีขึ้นแล้วก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา แล้วเวลาที่เป็นต้นทุนที่แพงที่สุดของการใช้ชีวิต.. ก็เดินของมันต่อไปเรื่อยๆ
มันเคยมีช่วงเวลาที่ผมรู้สึกว่า ตัวเองกำลังอยู่ตรงทางแยกทุกวัน ยังไม่รู้ว่าจะตัดสินใจกับทางเลือกที่มีอยู่อย่างไร ทางเลือกแรกเป็นทางเลือกที่มั่นคง ทั่วไปไม่ได้มีอะไรหวือหวา กับอีกทางที่เหมือนวิ่งไล่ตามความฝัน ไม่มีอะไรแน่นอนแล้วก็ไม่รู้อนาคตว่าจะดีหรือร้ายต่อไป ตอนนั้นมันเป็นทางเลือกที่เกี่ยวกับการทำงาน ซึ่งผมคิดว่าทุกคนน่าจะเคยมีช่วงเวลานี้กันบ้างครั้งนึงในชีวิต
มาถึงตอนนี้ เราโตขึ้นแล้วมองย้อนกลับไปนั่งนึกดูว่า วัยเด็กตอนนั้นมันจะต้องมาคิดอะไรมาก เวลาก็มีเหลือเฟือเลือกทางที่มั่นคงเก็บประสบการณ์ไปก่อนก็ไม่เสียหาย ดีไม่ดีถ้าเวลาผ่านไป เราอาจจะลืมความฝันนั้นไปแล้วก็ได้
.
..
แต่เปล่าเลย เวลาผ่านไป ความรู้สึกอยากวิ่งตามความฝันกลับไม่เคยหายไปด้วย จนเรารู้สึกว่าช่วงเวลาที่เราหันหลังให้ความฝันนั้นนั่นแหละคือ เวลาที่ไร้ค่าและสูญเปล่า
ถ้าเราออกวิ่งตามความฝันตั้งแต่วันนั้น ป่านนี้เราคงใกล้จะถึงเส้นชัย หรือถึงไปแล้วก็เป็นได้ หรือคงจะยังวิ่งอยู่ แต่เราคงมีประสบการณ์มากพอที่รู้ว่าจุดไหนต้องระวังไม่ให้ล้ม หรือเป็นแผลถลอกจนไม่สามารถวิ่งต่อไปได้ ช่วงเวลาที่เสียไปนั้นนั่นแหละจะมาย้ำเตือนเราเสมอถึงการตัดสินใจที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต หรือการตัดสินใจตรงทางแยกอีกครั้ง
แต่การตัดสินใจครั้งหน้านี้มันอาจจะเป็นการตัดสินใจครั้งสุดท้ายแล้วก็ได้ เพราะที่สุดแล้วเราก็แก่ขึ้น มีภาระมากขึ้น การวิ่งตามความฝันที่ไม่รู้ปลายทางจะไปอยู่จุดไหน มันยิ่งกลับเหมือนเป็นความฝันลมๆแล้งๆมากกว่าช่วงสมัยเรายังเยาว์วัย
และแน่นอนอีกเหมือนกัน หากการตัดสินใจครั้งหน้าผิดพลาด ก็คงต้องเจ็บปวดกับผลลัพธ์มากกว่าครั้งก่อนที่เคยผ่านมา ตามต้นทุนของเวลาที่ผ่านไป