เคยคิดมั้ยครับว่าในช่วงปีนึงเราจะเปลี่ยนตัวเองไปอย่างไรบ้าง แล้วจริงๆ เราเปลี่ยนอะไรบ้าง เปลี่ยนไปตามที่คิดไว้หรือตั้งใจไว้แต่แรกไหม บางคนก็อาจจะเปลี่ยนไปตามที่คาดหวังไว้จริง บางคนไม่เปลี่ยนเลย ละเลยสิ่งที่กล่าวไว้ในปีก่อนๆ แล้วก็ทำตัวแบบเดิม แต่คาดหวังผลลัพธ์รูปแบบใหม่อยู่ทุกวัน และบางคนก็เปลี่ยนไปทั้งๆ ที่ไม่คิดไม่ฝันว่าตัวเองจะเปลี่ยนไปด้วยเหมือนกัน
บางคนอาจจะไม่ต้องใช้เวลาเป็นปีในการเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตประจำวัน อาจจะเพียงสามเดือน หกเดือนก็สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้แล้ว และบางครั้งเราก็เปลี่ยนแปลงไปโดยที่เราไม่รู้ตัวด้วยในเวลาเดียวกัน ผมเองเคยสงสัยว่าปัจจัยอะไรบ้าง.. ที่ทำให้เราเปลี่ยนนิสัยของเราได้เร็วขนาดนั้น? หรือความจริงแล้วปัจจัยมันเป็นแค่ตัวแปรๆหนึ่ง ซึ่งไม่ได้สำคัญไปกว่าจุดมุ่งหมายที่เรามีหรือต้องการจะเป็น?
อยากลดน้ำหนักมาแทบตาย ทำยังไงก็ไม่ลง กลับเจอเรื่องบางเรื่องกระทบจิตใจครั้งเดียว น้ำหนักลงอย่างกับคนป่วย หรือตั้งใจจะเก็บเงินมานมนานเก็บไม่ได้สักที พอมาเจอปัญหาเรื่องหนี้คนใกล้ตัวครั้งเดียว เปลี่ยนตัวเองเป็นคนมัธยัสถ์อดออมได้เลย
ถ้ามันไม่ใช่เรื่องของปัจจัย หรือตัวแปรมากมายเพื่อให้ขยับเข้าถึงจุดหมาย แต่เป็น “แรงจูงใจ” ที่มีพลังมากพอจะเปลี่ยนเราไปเป็นอีกคนได้ในข้ามคืน
ย้อนกลับไปเมื่อตอน 3-4 ปีที่แล้วตอนที่ผมเองออกจากงานประจำมาทำสตาร์ทอัพตัวแรกชื่อว่า Parking Duck ตอนนั้นต้องบอกว่าได้อรรถรสในการใช้ชีวิตอย่างมาก อาจจะเป็นเพราะเรายังเด็กด้วย ยังไม่รู้ว่าบางครั้งต้องควบคุมหรือใช้อารมณ์ตัวเองแบบไหนภายใต้สถานการณ์ใด บางทีคิดเยอะ นอนไม่หลับ ถึงนอนหลับก็ตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วเหงื่อเต็มหลัง นึกว่าตัวเองป่วย ไปหาหมอ เพราะอ่านเจอจากที่ไหนสักที่ว่าถ้าตื่นมากลางคืนบ่อยๆ อาจจะเป็นต้นเหตุของโรคบางโรคอย่างเช่นวัณโรค เครียดกว่าเดิม งานประจำก็ไม่มี เงินเก็บก็ลดลงเรื่อยๆ
สุดท้ายไม่ได้เป็นอะไร หมอก็บอกไม่ได้ป่วยอะไร พอนานวันเข้าเริ่มชินกับสภาพการตื่นมากลางดึก เหงื่อเริ่มไม่ออก หลังจากนั้นก็ซื้อเมลาโทนีนมากินก่อนนอน ดีขึ้นเป็นปลิดทิ้ง จนมารู้ว่าจริงๆ แล้วน่าจะเป็นเพราะคิดเยอะ เป็นกังวล เครียดกับเรื่องนั่นเรื่องนี่
ผมเคยได้ยินผู้ใหญ่พูดว่า เป็นเด็กอยู่จะไปเครียดอะไร.. ส่วนตัวคิดว่าก็อาจจะจริงบ้าง แล้วก็อาจจะไม่จริงด้วยในเวลาเดียวกัน
ปัจจุบันนี้ตั้งบริษัทมา 2 บริษัท ปีสองปีที่แล้วทำงานทำทุกอย่างของบริษัทเอง เรียนโทไปด้วย เหนื่อยกว่าตอนที่เป็นเด็กทำสตาร์ทอัพตัวแรกตั้งเยอะ แต่กลับไม่รู้สึกอะไรมากเท่าตอนนั้น นอนอาจจะมีตื่นรู้สึกตัวกลางดึกบ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเครียดจนเหงื่อออก แค่พะวงว่าตอนนี้กี่โมงแล้วทุกครั้งที่ตื่น มันก็น่าจะเป็นอาการปกติของคนที่มีการอาการห่วงมากกว่าที่จะเครียดว่าต้องทำอย่างไรต่อไป
ทำแบบเดิม แล้วเหตุใดจึงคาดหวังผลลัพธ์ใหม่
ช่วง 3-4 เดือนก่อนที่จะเขียนบทความนี้รู้สึกได้เลยว่าเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันของตัวเองหลายอย่างมาก จากที่ดื่มแทบทุกเย็นวันละแก้วหรือกระป๋อง กลับไม่ดื่มเลยติดกันเป็นเดือนได้ ไม่มีความรู้สึกอยากอะไรเกิดขึ้น จากที่ทำงานดึกนอนตีสองตีสาม กลับเปลี่ยนมาอ่านหนังสือก่อนนอน แล้วก็เข้านอนก่อนเที่ยงคืน เปลี่ยนจากการกินทุกอย่างเหมือนคนปกติมากินมังสวิรัติแบบไม่เคยคิดมาก่อน
การเปลี่ยนแปลงหลายอย่างแบบเปลี่ยนทันทีนี้ไม่เคยเป็นความลำบาก หรือความทรมานอยากกลับไปเป็นแบบเก่าเลย มันเหมือนกับที่เขียนถึงในตอนแรกของบทความนี่แหละว่า ถ้าต้องการเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้น เราก็คงเปลี่ยนตัวเอง “ไปเอง” ด้วยแรงจูงใจภายใน
แต่สิ่งที่ทำให้เรียนรู้มากที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงกลับไม่ใช่เรื่องที่อยู่ภายนอก.. ไม่ใช่สุขภาพที่ดีขึ้น น้ำหนักที่ลดลง การรับมือกับความเครียดได้มากขึ้น แต่กลับเป็นความรู้สึกข้างในอย่าง “ความยับยั้งชั่งใจ” ที่จะไม่ทำอะไรในแบบที่ตัวเองต้องการมากกว่า
มันก็คงจะเป็นเรื่องดี ถ้าเราสามารถควบคุมตัวเองได้ในทุกสถานการณ์ และทุกเหตุการณ์ แน่ล่ะ คนเราก็คิดกันอยู่แล้วว่าคุมได้ แต่พอถึงบางสถานการณ์จริงๆ มันกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น ก็ได้แต่หวังว่าความยับยั้งชั่งใจที่เพิ่มขึ้นนี้จะช่วยสอนให้เราเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นในวันข้างหน้า