เป็นนายตัวเอง แต่ก็ใช่ว่าจะตามใจตัวเองได้

ย้อนไปประมาณ 3-4 ปีที่แล้วในสมัยที่ผมยังทำงานประจำอยู่ ผมมักจะมองคนที่ประกอบอาชีพอิสระ หรือเป็นนายตัวเองว่าเป็นอาชีพที่น่าอิจฉา ไหนจะมีทั้งเวลาส่วนตัว จะทำงานตอนไหนก็ได้ ไปทำงานที่ไหนก็ได้ หรือจะรับงานไหนก็ได้แล้วแต่ใจอยาก ซึ่งตอนนั้นเราไม่มีอะไรที่เป็นอิสระเลยสักอย่าง ทำงานก็ต้องเข้างานให้ตรงเวลา แย่งกินแย่งใช้ร้านอาหารกลางวัน เบียดเสียดรอรถไฟฟ้า หรือรถติดอยู่บนทางด่วนทุกเช้าและเย็น อีกทั้งงานบางงานไม่มีความท้าทายอะไรเลย ก็เลือกปฏิเสธที่จะทำไม่ได้ โดยที่ไม่ได้สนใจเลยว่างานประจำนั้นก็มีข้อดีคือพอถึงทุกสิ้นเดือนก็การันตีได้เลยว่าจะได้เงินยอดนึง เวลาป่วย หรือทำฟันก็สามารถใช้สิทธิ์บางอย่างของบริษัทเบิกได้

จนได้ออกมารับรู้ประสบการณ์เป็นนายตัวเองอย่างจริงจัง ช่วงแรกมันก็ดีครับ ได้ความอิสระหลุดจากพันธนาการที่เราเฝ้าตั้งคำถามในทุกๆ วันออกมา ตื่นสายได้ตามที่ต้องการ จะไปทำงานร้านกาแฟที่ไหนก็ได้ หรือจะออกต่างจังหวัด เอางานไปนั่งทำที่ริมชายหาดหัวหินดูพระอาทิตย์ตกดินก็ฟังดูดี ไหนจะสามารถเลือกงานที่เราอยาก หรือไม่อยากได้ด้วยตัวเอง เราเริ่มใช้ชิวิตเหมือนคนไร้ระเบียบวินัยมากขึ้นทุกวัน พอผ่านไปสักเดือนสองเดือนรู้ตัวอีกทีก็เริ่มรู้สึกว่าทำแบบนั้นคงไม่ได้แล้ว

ฟรีแลนซ์หลายคนไม่อยากป่วย

เพราะถ้าป่วยนั่นหมายความว่าเราต้องใช้เวลาในการรักษาตัว ไปหาหมอ พักผ่อนให้มากขึ้น และมีเวลาทำงานน้อยลง เมื่อเวลาทำงานน้อยลง ก็อาจจะทำให้งานชะงัก รายได้หดหาย ทั้งๆ ที่ปรกติงานก็อาจจะไม่ได้เข้ามาทุกเดือน หรือมีรายได้มั่นคงเหมือนกับตอนที่ทำงานประจำที่เราต่างรู้ว่าเมื่อถึงสิ้นเดือน เราจะได้เงินไปใช้จ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ ไหนเวลาป่วยก็ต้องเสียเงินรักษาเอง จะทำฟันทีนึงก็จ่ายเอง เพราะงั้นการป่วยจึงถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ฟรีแลนซ์หลายคนไม่อยากพบเจอ ไม่เหมือนกับตอนทำงานประจำเท่าไหร่ เพราะถ้าป่วยก็ลา ผลกระทบมันต่างกันมากอยู่

ความไม่แน่นอนก็อีกหนึ่งปัจจัย

เมื่อคุณออกมาเป็นนายตัวเอง พึงระลึกไว้ได้เลยว่าแทบจะไม่มีอะไรแน่นอน เดือนนี้งานอาจจะเข้ามาเยอะมากจนทำไม่ไหว แต่พอเดือนสองเดือนหน้าก็อาจจะไม่มีเข้ามาเลยก็เป็นได้ ไม่มีใครที่จะโชคดีมีโอกาสเข้ามาตลอดเวลา เมื่อไม่พร้อมก็ต้องยอมเข้าใจว่าคุณต้องเสียโอกาสนั้นไป พอเริ่มคิดได้ก็เริ่มเปลี่ยนตัวเอง จัดสรรเวลาในการทำงานใหม่ กลายเป็นเวลาตอนที่ไม่ได้ทำงานประจำเนี่ยเหนื่อยกว่าทำงานประจำเสียอีก เพราะต้องทำทุกอย่างตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงปลายทาง ไหนลูกค้าจะมีมากมายหลายแบบ จนสุดท้ายบังคับตัวเองให้ตื่นตามเวลา ไม่เข้านอนดึก ระวังตัวเองไม่ให้ป่วย พร้อมสำหรับโอกาส, งานใหม่ที่จะเข้ามา เริ่มไม่มีวันทำงานที่ชัดเจน เพราะทุกวันคือวันทำงาน work-life balance เริ่มหายไป เราเริ่มอินกับการทำงานมากขึ้น ทุกอย่างถูกจัดการเป็นระบบระเบียบ เริ่มรู้สึกว่าทำตัวให้คนอื่นอึดอัด เริ่มไม่มีการออกไปเที่ยวต่างจังหวัด พบเจอเพื่อนฝูงน้อยลง อ่านหนังสือมากขึ้น

มารู้ตัวอีกทีคือเราเองที่เปลี่ยนไปเยอะมาก ผิดกับวันแรกๆ ที่ออกจากงานประจำ กลายเป็นว่าเราเหนื่อยมากขึ้น ทำงานมากขึ้น เอาการเอางานมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน เริ่มจะอยากรู้อะไรหลายๆ ของโลกทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับขอบเขตงานที่ทำ เข้าหาทุกโอกาสที่มีเสมอ คือถ้าพูดถึงเรื่องรายได้ มันไม่ได้มากกว่าตอนที่ทำงานประจำเท่าไหร่เลย แต่เหนื่อยกว่า มีขอบเขตความรับผิดชอบที่ต้องทำมากกว่า จนแรกๆ ก็คิดว่าคิดผิดหรือเปล่าที่ออกจากงานประจำมา.. ก็คงคิดผิดแหละ แต่ทุกคนก็เริ่มจากล่างสุดกันทั้งนั้น บริษัทใหญ่ๆ ผู้นำ หรือนักธุรกิจหลายๆ คนก็เริ่มจากการที่ไม่มีอะไรมาก่อนเหมือนกัน หนังสือธุรกิจหลายเล่มชี้ให้เห็นว่าผู้นำองค์กรใหญ่ๆ หลายๆ คนมีวิธีการคิดที่น่าสนใจ เป็นนักสู้ และไม่ได้ยอมแพ้ให้กับปัญญาที่ถาโถมเข้ามา

shallow-and-strong
ผู้ตื้นเขินมักเชื่อในโชคชะตา ส่วนผู้ที่เข้มแข็งมักจะเชื่อในเหตุและผล

ถ้ายอมแพ้ ปัญหามันก็ยังอยู่ตรงนั้น กลายเป็นเราเองที่เก็บไปคิดถึงช่วงเวลาที่ย่ำแย่ที่ไม่สามารถผ่านมันไปได้ ได้แต่พูดกับตัวเองว่า “ถ้ารู้อย่างนั้น” “วันนั้นถ้าเป็นแบบนั้น หรือถ้ารู้แบบนี้” ซึ่งมันก็ผ่านไปแล้ว การนึกถึงมันก็ไม่ได้ช่วยให้ปัจจุบันดีขึ้น.. เราได้เรียนรู้จากอดีตที่ผิดพลาดแล้วยังไง? เราก็แค่รู้ว่าอะไรที่ควรทำ อะไรที่ไม่ควรทำ แล้วก็จะไม่ทำแบบนั้นอีกในอนาคต แล้วยังไงต่อ? สุดท้ายเราก็ไม่รู้อยู่ดีว่าสิ่งที่ถูกต้อง วิธีแก้ไขปัญหา หรือการผ่านพ้นมันไปได้คือยังไง หรือต้องทำยังไง แบบนั้นเรียนรู้จากความสำเร็จของคนอื่นไม่ดีกว่าหรือ อย่างน้อยก็สามารถนำอะไรบางอย่างมาประยุกต์ใช้ได้บ้าง ถึงแม้ว่าชีวิตมันจะตะกุกตะกัก แต่อย่างน้อยก็มีกำลังใจให้ทำอะไรต่อไปในวันข้างหน้า

ถ้าถามว่า ให้ย้อนกลับไปได้ถึงตอนเลือกว่าจะออกจากงานประจำมั้ย ก็คงตอบเหมือนเดิม พอเรามีเหตุผลมากขึ้น หรือโตขึ้น เราอาจจะมองอีกมุมนึงของการตัดสินใจใหม่ก็ได้ คือถ้าไม่ออกตอนที่ยังเป็นเด็ก มีภาระน้อย แล้วจะให้ไปตัดสินใจตอนไหน ตอนที่อายุมาก มีภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบเยอะแล้วหรอ ทำไม่ได้หรอก เมื่อมนุษย์เราโตขึ้น เราก็ต้องการความมั่นคงมากขึ้นด้วยตามกันไป

ทำให้การตัดสินใจ เป็นการตัดสินใจของเราจริงๆ เสียตอนนี้ดีกว่าที่ต้องตัดสินใจ แต่กลับไม่รู้สึกว่าเป็นการตัดสินใจของเราเลยดีกว่าในอนาคต

แชร์บทความนี้

    แสดงความเห็นของคุณที่นี่

    กรุณากรอกอีเมล์ของคุณก่อนส่งข้อมูล เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีคนมาตอบข้อความของคุณ