ผมเคยมีความคิดเรียนต่อโทมานานแล้ว
แต่ตอนนั้นคือช่วงที่ออกจากงาน ไม่ได้ทำงานประจำ แล้วก็ยังเป็นเด็กกว่าตอนนี้ ไม่ได้มีภาระอะไรที่ต้องแบกรับมากเท่าไหร่ การเรียนโทจึงเป็นประหนึ่งเหมือนการฆ่าเวลา ที่เหมือนจะได้อะไรพร้อมกันไปโดยปริยาย ผมเชื่อว่าคนส่วนมากที่คิดอยากจะเรียนต่อโท (คือจบป.ตรี จากมหาวิทยาลัยในไทย) ต่างเคยมีความคิดว่าจะไปต่อโทที่ต่างประเทศบ้างอยู่บ้าง ซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ช่วงที่กำลังคิดว่าอยากจะเรียนโทแรกๆ ก็เริ่มสับสนว่าจะไปเรียนต่อนอกดี หรือว่าจะเรียนต่อในไทยนี่แหละดีแล้ว
บางทีมันก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน ว่าครอบครัวมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ
“เรียนโทนอก กลับมาก็ได้ภาษาด้วยนะ” ผมเชื่ออีกแหละว่าใครหลายคนก็ต้องมีความคิดนี้ผ่านเข้ามาในสมอง แต่คำถามคือ การไปเรียนต่อนอกเนี่ยมันเท่ากับการหยุดทำงานไปเลยเหมือนกันนะ ขนาดตัวเองเป็นโปรแกรมเมอร์ คิดว่าอยู่ที่ไหนก็ทำงานผ่านเน็ตได้ ยังคิดว่าบางที remote job มันอาจจะยังไม่เวิร์คกับเรื่องแบบนี้เลย
คิดไปคิดมา เวลามันก็ล่วงเลยไปปีสองปี อายุก็มากขึ้น งานการที่ถือก็มีเยอะขึ้น ภาระผูกพันธ์เริ่มมากมายขึ้นเรื่อยๆ จนคิดว่าถ้าปล่อยไปอีกสักหน่อยก็คงไม่ต้องไปเรียนแม่งแล้ว ลำพังแค่งานการทุกวันนี้ก็แทบจะบีบเวลาหายไปหมดแล้วด้วยซ้ำ เลยตัดสินใจเอาช่วง 2 อาทิตย์สุดท้ายไปสมัครเรียนทีนึง เป็นเรียนโทภาคค่ำ สัปดาห์นึงเรียนประมาณ 3 วันตามตาราง
จนผ่านมา 3 เดือน นับถึงตอนที่นั่งเขียนบทความนี้อยู่ แล้วก็เป็นช่วงที่สอบกลางภาคเทอมแรกเสร็จพอดี
ทำให้รู้ว่าการเรียนไปด้วยพร้อมกับทำงานไปด้วยเป็นเรื่องที่เหนื่อยมากพอสมควร จนบางทีก็อดนึกไม่ได้เลยว่า ถ้าตอนนั้นไปต่อโทนอก แล้วงานที่ถืออยู่ตอนนี้มันจะเป็นยังไง เรียนต่อโทในไทยนี่มันก็ดีครับ ดีเพราะยังได้ทำงานที่ถือตอนนี้อยู่ ถึงแม้ว่าบางทีมันจะเหนื่อยกำหนดเวลาที่แน่นอนไม่ได้ แต่บางทีก็ยังรู้สึกว่าอนาคตสองอย่างมัน parallel กันไปเรื่อยๆ บางวันไปหาลูกค้าตั้งแต่ช่วงสาย เย็นก็ไปเรียน กลับมาถึงบ้านกว่าจะอาบน้ำ ทานข้าว ก็ปาไปเกือบเที่ยงคืน เปิดคอมนั่งแก้บัคประมาณชั่วโมงสองชั่วโมง
ยิ่งช่วงไหนงานเร่งๆ ส่งงานพร้อมกัน หรือมี project ที่ต้องขึ้น production พอดีกับช่วงสอบเนี่ย แบ่งเวลาแทบไม่เป็น ทำงานได้สองชั่วโมง เปลี่ยนมาอ่านหนังสือครึ่งชั่วโมง เดี๋ยวกลับไปเปลี่ยนแก้อีก project คนละภาษา ฯลฯ บางทีก็รู้สึก down มากๆ แต่ก็รู้สึกดีในเวลาเดียวกันที่มีผู้ร่วมคลาส ร่วมชะตาเดียวกันอีกหลายสิบชีวิต มันทำให้มีกำลังใจทำงานไปด้วย พร้อมๆ กับเรียนไปด้วยอย่างแปลกๆ
เมื่อก่อนไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องไปมหาลัยสัปดาห์ละ 5-6 วัน
แล้วก็คิดว่าไม่จำเป็นด้วย จวบจนมามีบางอาทิตย์ที่ต้องเข้าไปนั่งทำงานกลุ่ม อ่านหนังสือ อาจารย์สับตารางเรียน ฯลฯ มันทำให้รู้ว่าการแพลนชีวิตล่วงหน้าเป็นสัปดาห์ไม่มีอีกต่อไป จนบางทีก็รู้สึกเหนื่อยเหมือนกันที่ต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย แล้วก็ต้องประคองธุรกิจที่สร้างขึ้นมาเอง แต่อีกความรู้สึกนึงก็รู้สึกดีที่มันเหนื่อยพร้อมกันในช่วงเวลาเดียว พอมันไปบรรจบกันที่ปลายทางก็เหมือนกับสิ่งที่เราลงทุนไปในวันนี้ ให้ผลตอบแทนกลับมาไม่มากก็น้อยในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกัน
มันอาจจะทำให้เราขยันขึ้น จัดการตารางเวลาได้เป็นระเบียบมากขึ้น มีการตัดสินใจในอนาคตได้อย่างมีเหตุผล ไม่หุนหันพลันแล่นจะทำอะไรแพลงๆ หรือทำมันเดี๋ยวนี้เดี๋ยวนั้น มันก็อีแค่ 2 ปีที่ต้องทน จะไปนานอะไร..
แด่ความเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า