อยากออกมารับงานเขียนเว็บไซต์เอง.. จะดีหรือเปล่านะ
เมื่อก่อนผมก็เป็นพนักงานออฟฟิศไม่ต่างอะไรกับคนทั่วไปเสียเท่าไหร่ พอเรียนจบปี 56 ก็ออกมาหางานทำเป็นเรื่องปรกติอย่างที่เด็กจบใหม่ทั่วไปเขาทำกัน จำได้ว่าช่วงนั้นกำลังไฟแรง เพิ่งออกมาจากรั้วมหาลัยก็อยากจะได้งานทำเป็นที่ทำงานที่แรกเอาไว้เก็บประสบการณ์ แล้วก็ถือว่าเปลี่ยนบรรยากาศไปด้วยในตัว ผมค่อนข้างจะเริ่มงานเร็วกว่าเพื่อนในรุ่นๆ เดียวกันอยู่พอสมควร ก็ตอนทำโปรเจคจบก็รีบเร่งทำให้เสร็จแล้วก็ออกมาหางานเลย หลังจากที่ลองนั่งเลือกบริษัทอยู่พักใหญ่ๆ ก็โอเคตกลงปลงใจไปทำงานกับบริษัทดิจิตอลเอเจนซี่เจ้านึงแถวสีลม ด้วยค่าแรง 20k ต่อเดือน
สำหรับผม ตอนนั้นก็คิดว่ามันค่อนข้างเป็นเงินที่โอเคเลยสำหรับเด็กจบใหม่ไม่มีประสบการณ์ มีแต่พอร์ตเก็บงานเว็บไซต์ทั่วไปที่หัดเขียนเล่นไปเรื่อยๆ บางงานก็เป็นงานที่ไปแข่งประกวดต่างๆ ก็ถือเป็น reference ที่ค่อนข้างช่วยได้ดีในระดับหนึ่ง ผมเริ่มงานที่แรกด้วยตำแหน่ง CSS Developer หรือทำงานส่วน front-end ของเว็บไซต์เป็นหลัก จำได้เลยว่าตอนนั้น สิ่งที่กลัวมากที่สุดคือกลัวทำงานที่ได้รับมอบหมายมาไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ปรับตัวอยู่สักอาทิตย์สองอาทิตย์ ทุกอย่างก็ไปได้สวย ตอนนั้นค่อนข้างจะแก่นอยู่พอสมควรเลย หัวแข็งค่อนข้างมีความมั่นใจสูงจนน่าหมั่นไส้(อันนี้คิดไปเอง) แต่มันก็ไปได้ดีจนมาถึงจุดจุดนึง
ที่ตัวเองคิดว่าตอนนี้เก็บงานมาค่อนข้างที่จะเริ่มตันแล้ว ประกอบกับช่วงนั้นทำงานประจำด้วย รับงานนอกด้วย ค่อนข้างมีเวลาพักผ่อนน้อย แล้วงานนอกส่วนใหญ่ก็เป็นงานเร่งที่จ่ายค่าแรงต่องานสูง บางงานจ่ายสูงกว่าค่าเงินเดือนที่ได้ในตอนนั้นอีกตะหาก แต่หลักๆ แล้วรู้สึกว่างานมันไม่ท้าทายเหมือนที่เราเข้ามาแรกๆ เลยตัดสินใจส่ง resume ไปอีกที่หนึ่ง ซึ่งก็ไปสัมภาษณ์แล้วโอเค เขาตกลงรับเข้าทำงานด้วย พร้อมจ่ายค่าแรง 25k ต่อเดือน ตอนนั้นรู้สึกแบบกระดี๊กระด๊ามาก ได้งานใหม่อยากจะเริ่มที่ใหม่เร็วๆ ต้องอดทนรอ 2 เดือนตาม contract ของที่เก่า พอครบ 2 เดือนก็ได้สิ่งที่ใจหวัง ย้ายที่ทำงานใหม่ในระยะเวลารวมของที่ทำงานที่แรกเพียง 8 เดือนเท่านั้น
แต่มันก็ไม่ใช่อย่างที่คาดหวังหรอกครับ
ช่วงนั้นผมคิดแต่ว่าเงินที่นั่นได้มากกว่า ออฟฟิศเล็กกว่าที่เก่าจะได้มีสิทธิ์ให้ความเห็น มีส่วนร่วมกับงาน หรือมีปากเสียงที่จะออกความเห็นได้มากกว่าที่เก่า ช่วงอาทิตย์แรกทุกอย่างดูเหมือนจะราบรื่น ค่อนข้างอบอุ่นจากการเป็นพนักงานใหม่ ซึ่งตอนนั้นงานที่ผมได้รับมอบหมายเป็นตำแหน่ง UI/UX Designer แต่พอนานเข้าทุกอย่างเริ่มไม่เข้าที่เข้าทาง ไม่ว่าจะเป็นสไตล์การทำงาน การเดินทาง หรือการที่เราได้งานผิด job description จากคนอื่นๆ ช่วงนั้นรู้สึกอึดอัดอัดอั้นตันใจมาก จนตัดสินใจว่าจะออกแบบไม่เอาเงินเลยสักบาท สุดท้ายก็ทำงานให้เขาไปเกือบเดือน พอเคลียร์งานเสร็จแล้วก็ออกมาเลย ไม่ได้ทิ้งข้อมูลการรับเงินอะไรไว้ ก็ไม่รู้ว่าตัวเองทำถูกหรือเปล่า แต่ก็คิดว่าทุกอย่างที่ทำไปมันค่อนข้างแฟร์ ไม่ได้แบกรับความเจ็บปวดอะไรออกมาด้วย งานก็เคลียร์ ทุกอย่างทำหมด ไม่ว่าจะเป็นงานที่เกี่ยวกับตัวเองหรือไม่เกี่ยว แล้วก็ไม่เอาเงิน
บางทีผมอาจจะตัดสินใจผิดก็ได้ที่ทำตัวไม่น่ารักแบบนั้น.. แต่นั้นคือผมแหละครับ
จนท้ายที่สุดเราก็มาได้คิดทบทวนอะไรพอสมควรกับเรื่องที่ทำไปในช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งปีกับชีวิตการทำงานประจำ เราคิดเสมอว่าที่นั่นเป็นแบบนี้ที่นั่นเป็นอย่างนั้น จนบางทีเราอาจจะลืมคิดถึงเรื่องบางเรื่องไปเพราะเงินที่มากกว่าเพียงเล็กน้อย โดยไม่ได้คิดถึงอะไรหลายๆ อย่างที่เราต้องเจอในแต่ละวันเลย
อย่างว่า ถ้าคนเราไม่มีอะไรให้เปรียบเทียบ เราก็ไม่มีทางรู้ว่าอะไรดีกว่าอะไร เราพลาดอะไร ทำอะไรหล่นไปบ้างตามทางที่เราเดินมา
ช่วงนั้นที่ออกมาก็อยากจะพักสมองสักเดือนนึง มีเวลาคิดอะไรไปเรื่อยอยู่กับตัวเองสบายๆ ใช้เงินเก็บที่มีอยู่ใช้ชีวิตทั่วไป อ่านหนังสือกินกาแฟ หาความรู้เข้าสมอง หาอะไรทำไปเรื่อยไม่ให้เสียเวลาเปล่า จนมาถึงปีใหม่ที่ได้เริ่มงานกับบริษัทนึงซึ่งทำให้ผมเรียนรู้อะไรต่างๆ มากมายจนถึงทุกวันนี้ หลังจาก 3 เดือนผ่านไป ผมก็ตัดสินใจออกมาพร้อมกับความรู้ก้อนนึงที่ติดตัวมาในแต่ละวัน เข้าไปสมัครเรียน ป.โท ที่มหาวิทยาลัยนึงแถวดินแดง ก็สอบข้อเขียนเรียบร้อย ไปจนถึงขั้นสอบสัมภาษณ์ก็นึกในใจแล้วว่าน่าจะได้เรียนที่นี่ เพราะไม่เคยคิดเลยว่าจะมีปัญหาอะไรเรื่องสอบสัมภาษณ์ เรื่องคุยกับคน มันก็เหมือนเรื่องง่ายๆ..
ทุกอย่างแม่งไม่ได้เป็นอย่างหวังจริงๆ นั่นแหละครับ “ผมเด็กไป” ประกอบกับไม่ได้ทำงานประจำ
ถือเป็นคำพูดนึงที่ผมไม่รู้เลยว่าจะแก้ไขตัวเองยังไง ลองคิดดูว่าถ้าเจ้านายของเรามาบอกว่า “คุณทำงานช้านะ” “คุณขี้เกียจนะ ขยันหน่อย” “คุณต้องแก้นี่นะ ปรับปรุงนั่นด้วย” โถ่ถัง พูดแบบนี้ยังพอแก้ไขกันได้ แต่ดันมาบอกว่าเด็กไป อันนี้ไม่รู้จะโทษ ไม่รู้จะแก้ไขยังไงเลยทีนี้ แต่นั่นก็ถือเป็นอัคติอย่างนึงที่ผลักดันให้เราเดินไปข้างหน้าได้ดีเลยครับ จุดเริ่มต้นการทำอาชีพฟรีแลนซ์ของผมเกิดขึ้นจากนี้ ต้องขอโทษที่ร่ายมายาวกว่าหลายบรรทัด แต่อยากจะยกขึ้นมาเกริ่นสักนิดนึงว่า ผมมี background อะไรยังไงบ้าง แล้วก็ทำอาชีพฟรีแลนซ์นี่มาตั้งแต่ตอนไหน
จงแบกรับความเสี่ยง
ตอนเราทำงานก็อาจจะไม่ต้องคิดถึงเรื่องรายได้ที่จะได้ในแต่ละเดือนเท่าไหร่ ก็แน่ล่ะเงินมันหมุนเข้ามาทุกสิ้นเดือนอยู่แล้ว จะทำงานเกียจคร้าน หรือจะขยันหลังขดหลังแข็งยังไงเสียเงินก็ต้องเข้าละวะ มีเงินจ่ายค่าห้อง ค่าน้ำไฟ ค่าโทรศัพท์ ซื้อของจุกจิก กินกาแฟ บุฟเฟต์ห่าเหวอะไรก็สไตล์ใครสไตล์มันขึ้นอยู่กับเงินเดือนของแต่ละคนไป แต่กับฟรีแลนซ์แล้วมันไม่ใช่เลย อย่าคิดว่าได้งานสองงานแล้วคิดอยากจะออกมาเป็นฟรีแลนซ์ คิดว่างานจะไหลเข้ามาอย่างนี้ตลอด รู้ไว้ใช่ว่ายังไงก็มีความเสี่ยงนั่นเป็นเรื่องธรรมดา เดือนสองเดือนแรกงานเข้ามา ดีใจแดกบุฟเฟ่ต์กินของแพง ใช้จ่ายโน่นนี่นั่น พอนานไปไม่มีลูกค้าเข้าสุดท้ายจบที่มาม่า ดีไม่ดีรับอะไรไม่ไหว เงินไม่พอไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ก็ต้องกลับเข้าไปเป็นพนักงานประจำอีก.. โครตเสียดายเวลาเลยว่ะพี่น้อง
แฟร์กับลูกค้า ทำทุกอย่างเองทุก process
แน่นอนเราทำงานออฟฟิศ มันก็อาจจะมีแผนกนั่นแผนกนี้แยกงานกันไปเป็นสัดส่วน จะขายจะหาลูกค้าก็ให้เซลออกไปขาย ลูกค้ามีปัญหาไม่ต้องรับหน้าเอง คนขายขายอย่าง คนทำงานทำอย่าง งานไม่มีคุณภาพช่างมันขอให้เสร็จทำส่งไปมาเช้ากลับตรงเวลา สิ้นเดือนรับเงินเป็นพอ เขวี้ยงเรื่องพวกนี้ทิ้งไปให้หมดครับ ตั้งแต่ออกมาเป็นฟรีแลนซ์เราต้องเจอทุกอย่าง ทุกรูปแบบ รับสิ่งที่จะเข้ามาให้ได้ ฝืนใจข่มใจบ้างบางครั้ง แฟร์กับลูกค้าไม่ว่าจะเรื่องตกลงงานตกลงเงิน บริการหลังการขายควรจะเป็นผืนเดียวกันกับบริการก่อนการขาย ไม่ใช่ว่ารับเงินก้อนสุดท้ายมาแล้ว ทิ้งขวางปล่อยเขาลอยแพเสียอย่างนั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเราอยู่แล้ว
ฟรีแลนซ์มีสองประเภท หนึ่งคือ ฟรีแลนซ์ที่มีงานชุกตลอด กับฟรีแลนซ์ที่ไม่มีงานเลย
ครึ่งนึงของลูกค้าผมมาจากลูกค้าเก่าแนะนำให้ ไม่ว่าจะเป็นโปรเจ็คเล็กหรือใหญ่ ทำกับเขาเหมือนที่เราทำกับทุกคน คุณภาพมาก่อนแล้วเสริมเรื่องบริการเข้าไป การอ่อนน้อมยังถือเป็นเรื่องที่จำเป็นที่สุดในเวลาเจอกันอยู่แล้ว นั่นเป็นเรื่องธรรมดาไม่ว่าจะเจอกับผู้ใหญ่หรือเด็ก รักษาคุณภาพ เขียน code อย่าลืมเรื่อง maintain ดูแลเว็บไซต์เขาให้เหมือนเป็นผลงานที่เรารัก นั่นถือว่าแฟร์แล้วครับ
โครตมีวินัย
ฟรีแลนซ์นี่ฝึกเราได้ดีที่เห็นได้ชัดเรื่องนึงเลยคือเรื่องรักษาเวลา ความเป็นระเบียบ ละเอียดและต้องโครตมีวินัยในการทำงาน เครื่องมืออะไรที่พอช่วยย่นเวลาได้ ช่วยแก้ปัญหาได้ ซื้อมันเถอะครับ ถ้าเงินแก้ไขปัญหาเรื่องบางเรื่องแทนเราได้แล้วเรามีเวลามากพอที่จะไปทำอย่างอื่น หรือพักผ่อน ก็ใช้มันไปซะเถอะ บางทีเครื่องมือที่มีคุณภาพมากอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้เงินซื้อมาเลยก็ได้ ผมยกตัวอย่างเช่นพวก spreadsheet หรือพวก todo list พวกนี้ถือเป็นเครื่องมือที่ช่วยแบ่งเบาภาระสมองไปได้เยอะ แต่ท้ายที่สุดแล้วเครื่องมือก็ช่วยอะไรมากไม่ได้ ถ้าเรายังขาดวินัยที่จะทำ ถือเป็นเรื่องสบายไม่มีงานทำพักผ่อนอยู่บ้าน
จริงๆ แล้วบ้านเราเนี่ยถือเป็นเรื่องที่เอาชนะได้ยากที่สุดกับการเป็นฟรีแลนซ์เลยนะ
แน่นอนบ้านแม่งมีสิ่งเร้าเยอะแยะเต็มไปหมด ไหนจะเตียงนอน ทีวี เครื่องเกมส์ หรืออะไรก็ตามแต่ที่มันดึงความสนใจจากงานที่ต้องทำไปได้ อีกอย่างคือเราไม่มีคนที่มาบังคับเรา หรือโยนงานให้ทำโน่นนี่นั่นตามคำสั่งแล้ว ถ้าเรายังสร้างวินัยจัดระเบียบชีวิตแต่ละวันไม่ได้ ก็ต้องเตรียมตัวกลับไปทำงานประจำอีกนั่นแหละครับ วัดใจตัวเองไปเลยทำงานกี่ชั่วโมง วันนี้ทำอะไร ชั่วโมงนี้ทำอะไร ตื่นกี่โมง มีอะไรที่ต้องทำพรุ่งนี้ หาลูกค้าใหม่ยังไง วันนี้จะเรียนรู้อะไรเข้าสมองบ้าง จนจริงๆ แล้วก็เริ่มไม่แน่ใจว่าวันนึงมี 24 ชั่วโมงนั้นพอหรือเปล่าสำหรับผม
มั่นใจว่าทำสิ่งที่ตัวเองรัก
ลองอยู่ว่างๆ เฉยๆปล่อยความคิดอยู่กับตัวเองไปเรื่อยๆ ถามตัวเองว่าที่ทำอยู่นี่ใช่สิ่งที่ตัวเองรักหรือเปล่า นี่เรามาทำงานนี้เพราะเรารักที่จะทำ รักที่จะอยู่หน้าคอม รักที่จะสร้างมันถึงแม้มันไม่สร้างประโยชน์อะไรกลับมา หรือว่าเพราะจริงๆ แล้วเรามาทำงานนี้เพราะเงิน หรือเพราะสิ่งเร้าอื่นๆ ที่เราอยากจะได้ ถ้าเป็นแบบนี้ผมว่าเป็นฟรีแลนซ์ไม่เวิร์คหรอกครับ จริงอยู่ฟรีแลนซ์มันดีตรงที่ว่าเราเลือกงานที่จะทำได้ เลือกลูกค้าได้ เลือกได้ว่างานไหนคุ้มไม่คุ้ม แต่ผมว่าถ้าคุณเป็นคนที่รักงานเขียนเว็บไซต์อยู่แล้ว คุณจะไม่เลือกงานหรอก(เลือกลูกค้าให้เหมาะกับงานที่เราทำอันนี้ยังพอฟังขึ้นกว่า)
ถ้าเรามั่นใจว่าทำในสิ่งที่เรารัก เราจะไม่คิดว่าเรากำลังทำงานอยู่ เรากำลังสนุกกับโปรเจ็คใหม่ๆ ที่เข้ามา สนุกที่จะพัฒนาตัวเองเรียนรู้สิ่งต่างๆ ไปพร้อมกัน แล้วก็ยังมีเวลาส่วนตัวพักผ่อนอยู่บ้าน อยากพักผ่อนก็ไม่ต้องรับงานช่วงนึง แต่มีสิ่งนึงที่คนประสบความสำเร็จทั่วไปมีต่างจากคนธรรมดา
ผมว่านั่นคือ การเอาจริงเอาจัง
เอาจริงๆนะ ถ้าเราจริงจังเป็นขั้นเป็นตอนมาก อย่างเช่นอยากจะเปิดร้านล้างรถ คุณก็จะศึกษาข้อมูลรถ เทียบราคาแต่ละขนาด หาขข้อมูลเรื่องน้ำยาล้างรถ ข้อมูลเรื่องอุปกรณ์ ไหนจะเรื่องจ้างคน เราจะไปหาเด็กล้างมาจากไหน จะแบ่งทำธุรกิจกับหุ้นส่วนยังไง หลังคาร้านล้างรถต้องติดไฟแบบไหน ยี่ห้ออะไร สถิติการใช้รถมีแนวโน้มมากขึ้นแค่ไหน คุณต้องแบ่งเวลาเปิดปิดยังไง จัดโปรโมชั่นแบบไหนถึงจะขายดี มันดูเหมือนจะเป็นเรื่องจุกจิกสารพัดสารเพแต่เชื่อเถอะครับ ถ้าคุณรักสิ่งที่คุณถนัด แล้วคุณรักที่จะทำมันอยู่ เรื่องพวกนี้ไม่ต้องมีใครบอกให้ทำ ร่างกายมันก็จะทำงานเอง
ทุกวันนี้ผมพอใจกับการเป็นฟรีแลนซ์ ไม่ต้องทำงานเอาใจใคร ไม่ต้องคิดเรื่องไร้สาระไม่เป็นเรื่อง ไม่ต้องเดินทางเจอรถติด หรือแย่งขึ้นรถไฟฟ้ากับผู้คนมากมาย มีเวลาอย่างที่พนักงานบริษัทไม่มี เดินห้างตอนคนน้อย ไม่ต้องแย่งซื้อไม่ต้องแย่งเที่ยว เลี้ยงหมาเลี้ยงแมวเลี้ยงปลา นั่งทำงานผ่านเน็ตส่งงานตรงเวลา สร้างฐานลูกค้าพร้อมกับดูแลลูกค้าเก่า แค่นี้อย่างทุกวันนี้ก็รับงาน ปัดงานกันไม่หวัดไม่ไหวแล้วครับ