เมื่อฟรีแลนซ์ ไปดูหนังฟรีแลนซ์
ช่วงวันพุธหลังจากหนังเข้ามาเกือบหนึ่งอาทิตย์เพิ่งได้มีโอกาสเข้าไปดูหนังเรื่องฟรีแลนซ์ครับ เพื่อนก็ส่งมาแล้วก็ถามกันมาเยอะว่าไปดูมาบ้างหรือยัง ไหนจะ feed ใน social ที่พูดถึงหนังเรื่องนี้อยู่อย่างบ่อยในสัปดาห์ที่แล้ว แต่ที่น่าสนใจคือหลายคนบอกว่าหนังไม่ดีเท่าที่ควร เลยไม่แน่ใจว่าผมจะหยิบหนังเก็บมาเขียนเป็นบทความดีหรือเปล่า ยิ่งได้อ่านกระทู้ในพันทิปบางอันที่เถียงกันเรื่องเงินเดือนอย่างไร้สาระด้วยแล้ว ยิ่งไม่ค่อยอยากจะยุ่งเสียเท่าไหร่
ผมเขียนถึงหนังเรื่องล่าสุดลงบล็อกนี้ไปเมื่อช่วงพฤศจิกายนปีที่แล้ว(Interstellar) ซึ่งเรื่องนั้นผมคิดว่าเป็นหนังที่ดี แล้วก็น่าประทับใจอีกเรื่องที่เคยดูหนังมาทั้งหมด แต่หนังเรื่องนี้ ฟรีแลนซ์ อยากจะเขียนในมุมมองของคนที่รับงานเป็นฟรีแลนซ์มาสักพักใหญ่ๆ แล้วก็พอเห็นพอเขียนอะไรเล่าได้บ้าง เริ่มที่อย่างแรก..
ที่ box office หรือที่ขายตั๋วของ SFX เปลี่ยน Interface ของระบบซื้อขายตั๋วใหม่ ปรับซะแบนราบให้เข้ากับยุคปัจจุบัน ผมไม่ได้สังเกตุอะไรมาก ก็แค่คนที่เข้าไปซื้อตั๋วเลือกที่นั่งปรกติ แต่เวลาดูเลขและแถวนี่บอกได้เลยว่า UX ค่อนข้างแย่กว่าเก่า ก็ดันปรับตัวหนังสือเล็กลง ต้องเพ่งมากขึ้น แถม interface บางส่วนกลับดูกลืนๆ กันไปหมด.. ที่เล่ามาไม่ได้เกี่ยวกับหนัง แต่เกี่ยวกับงานที่ทำ เลยอยากจะเล่าเขียนสักหน่อย
คนดูคาดหวังอะไร?
ผมได้ยินหลายคนบอกว่า หนังฟรีแลนซ์ ไม่ได้ดีเหมือนที่คิด ไม่ได้เป็นเหมือนที่ดู trailer แล้วจะรู้สึกว่าน่าเข้าไปดูอะไรทำนองนี้ โดยส่วนตัวคิดว่าไม่แปลก เพราะเคยได้ยิน spot โฆษณาเล่าประมาณว่า “ซันนี่เล่น ใหม่เล่น เต๋อกำกับ” ก็เลยคิดขำๆ ตอนนั้นว่าต้องมีบางคนที่คิดว่า “เต๋อ” ที่ว่าเนี่ยน่าจะเป็น เต๋อ ฉันทวิชช์ แน่ๆ แต่ความเป็นจริงแล้วถ้าเราได้ดู poster กับ trailer และสังเกตุกันมากขึ้นอีกนิดจะเห็นว่าคนที่กำกับจริงๆ คือ เต๋อ นวพล
แล้วถ้าใครได้ดูหนังของ เต๋อ นวพล มาบ้างอย่างเรื่อง 36 หรือ Mary is happy, Mary is happy จะพอจินตนาการบรรยากาศโดยรวมของหนังได้ส่วนนึงละ คือหนังจะต้องเป็นหนังกึ่งประมาณเงียบๆ หน่อย ถ้าตัวละครไม่หยุดคิด หรือมุมกล้องแบบไกลๆให้เห็นฉากโดยรอบ ก็ต้องมีบางจุดที่หนังทิ้งช่องว่างให้คนสร้างอะไรขึ้นมาคิดเล่นๆ ในหัว ถ้าคนชอบก็คือชอบไปเลย ส่วนคนที่ไม่ชอบก็อาจจะคิดว่า หนังอะไรดูไม่เข้าใจสักที อย่าง 36 กับ Mary เนี่ย ผมชอบมากเพราะมันดูอิน แล้วก็ถ่ายทอดผ่านตัวละครตัวนั้นได้จริงดี ไม่ต้องเมคอะไรขึ้นมาให้ตามกระแสตามสังคม
แต่มันดันติดที่ว่า trailer หนังทำมาเหมือนจะหลอกคนดูว่าเป็นหนังรักทั่วไป ดูแล้วรู้สึกดี ทั้งๆที่ตัวหนังทำออกมาได้จริงและตรง ไหนจะรู้สึกค่อนข้างหม่นอีก
หนังเป็นกระบอกเสียงให้คนทำฟรีแลนซ์
ขอเขียนในฐานะที่ตัวเองออกมารับงานฟรีแลนซ์เต็มตัวได้หลายปีแล้วละกันนะครับ หลังจากดูหนังเรื่องนี้ทำเกิดความรู้สึกบางอย่างที่คิดว่า คนทั่วไปที่ไม่ได้ทำฟรีแลนซ์ซึ่งอาจจะเป็นลูกค้า หรืออาชีพอื่นที่ต้อง outsource ออกมาจ้างงาน ได้เข้าใจหัวอกของคนเป็นฟรีแลนซ์มากขึ้นผ่านหนัง ที่เห็นได้ชัดเจนเลยคือ ปฏิทินจะไม่แน่นอน ถ้าใครหรือลูกค้าคนไหนนัดจ้างเข้ามาก่อน ก็อาจจะทำให้ slot มันไม่ว่างขึ้นมาเดี๋ยวนั้นทันทีเลยก็ได้ อย่างเช่นเพื่อนถามว่า “เห้ย อีกประมาณ สองเดือน สามเดือนจะไปเที่ยวเขื่อนกัน.. ว่างเปล่าวะ?”
คำตอบที่เพื่อนมักจะได้ยินจากเราก็จะเป็นอะไรที่แม่งรู้อยู่แล้วอย่าง “ยังไม่แน่ใจ เดี๋ยวบอกอีกที” อะไรทำนองนี้
แล้วก็มีบางอย่างที่หนังดันถ่ายทอดผ่านตัวละครได้อย่างตรงไปตรงมา ทำให้ผมค่อนข้างอินเลยคือช่วงที่คุยกับหมอ หรือคุยกับคนอื่นในประมาณว่า ทำไมไม่ทำอย่างโน้นบ้าง นี้บ้าง วันว่างวันไหน วันๆทำอะไรเป็นงานอดิเรก หรือไปเดินเที่ยวที่ไหนทำอะไรบ้างหรือเปล่า แต่คนที่ทำฟรีแลนซ์รับงานมาบ่อยๆ นานๆ จะรู้สึกว่า “เออ พวกนั้นมันเสียเวลา”
ก็เหมือนกับการซื้อมือถือใหม่ หรือซื้อเสื้อผ้านั่นแหละครับ ถ้ามันยังใช้ได้ ก็คือยังใช้ได้ ไม่ต้องเสียเวลาไปเปล่าประโยชน์
คือบ้านผมทำบ่อเลี้ยงปลาคราฟ เวลาทำงานก็คือทำอยู่ที่บ้าน มันจะมีบางครั้งที่ปั้มน้ำทำงานผิดปรกติหรือบางทีก็ดับไปเฉยๆ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเปิดใช้งานมันตลอดด้วย แต่ประเด็นที่สำคัญคือเมื่อปั้มน้ำเสีย ก็ต้องเสียเวลามานั่งดูนั่งซ่อม ไหนจะห่วงว่าปลาจะตาย ไหนจะพะวงว่าวันนี้ยังไม่ได้นั่งเริ่มทำงานอะไรเลยอีก
หนังอาจจะเป็นความจริงครึ่งหนึ่ง
ถึงจะเป็นฟรีแลนซ์เหมือนในหนัง แต่ผมก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้มี moment ที่ต้องอดหลับอดนอนทำงานมากกว่า 2 วัน (ซึ่งบางคนอาจจะ 2-3 วันก็อาจจะเป็นไปได้) แต่ในหนังนี่เล่นเป็นอาทิตย์เลย ไหนจะไม่ได้เจอหน้าเพื่อน พ่อแม่หรือใครอื่นเลยนอกจากตัวละครอีก 2 คนคือคนป้อนงานให้ กับหมอ
แต่หนังทำให้มีอารมณ์ร่วม และมีฉากพีค
ช่วงกลางๆ อาจจะมีฉากที่อารมณ์กลางๆ ไม่ได้ไปทิศทางใดทิศทางหนึ่งบ้าง แต่ช่วงที่ทำให้หนังรู้สึกพีค อย่างฉากที่ตัวละครหลักอดนอนเกิน 10 วัน เดินเข้าห้องน้ำ บรรยากาศอึมครึม ไหนจะถ่ายมุมกล้องให้เห็นแผ่นหลังที่มีผื่นเละๆ ขึ้นเต็มไปหมด แล้วเพลงที่ดังขึ้นแบบฉุดอารมณ์ให้รู้สึกหายใจไม่ค่อยสะดวก ทำให้รู้สึกว่าหนังเข้าใจเล่นกับความรู้สึกของผู้ชมได้ดี
สรุปแล้ว สำหรับผมหนังฟรีแลนซ์เป็นหนังที่ค่อนข้างดีครับ ส่วนใหญ่ค่อนข้างอิน แล้วก็ถ่ายทอดมุมมองของอาชีพนี้ได้ชัดเจน