อยากรู้ต้องลอง จะลอง..ต้องซื้อ

อ่านรีวิว ฟังใครพูด. ไม่เข้าใจเท่าใช้เอง

ถ้าพูดถึงเรื่องซื้อของ หรือต้องใช้บริการอะไรก็ตามแต่ ไม่ว่าจะของยี่ห้อใดหรือเจ้าไหนก็ตามแล้ว ถ้าผมสนใจที่จะซื้อหรือใช้จริงๆ ก็จะเข้ามาลองเองโดยที่ไม่ต้องผ่านการอ่าน หรือฟังจากใครหรือที่ไหนเลย ผมมองว่าทุกวันนี้มันเป็นโลกของเทคโนโลยีที่ข้อมูลมีเยอะ เยอะจนปนเปไปด้วยความจริงบ้าง การเสริมเติมแต่งออกมาจากเดิมบ้าง การที่เราจะเข้าถึงอะไรสักอย่างได้อย่างคนเข้าใจจริงๆ คือต้องเสียสละไม่เวลาก็เงินเพื่อแลกมา

ยกตัวอย่าง ร้านซูชิบางร้านที่เคยได้ถูกรีวิวในเว็บไซต์พันทิป เขียนรีวิวพร้อมรูปประกอบจนเรียกได้ว่าถ้าจ้างนักแสดง 500 พี่แกดันเล่นไปเป็นแสน แต่พอผมเข้าไปกินจริงๆ นี่มีแต่ชื่อเลย.

ผมคิดว่าในช่วงเวลาสองสามเดือนมานี้ ใครหลายๆคนอาจจะเคยได้ยินชื่อ Apple Music กันมาบ้างพอสมควรใช่มั้ยครับ ถ้าพูดถึงเรื่องของสินค้า และบริการของ Apple แล้ว ผมคนนึงล่ะที่เลือกซื้อสินค้าเพราะเรื่องของซอฟแวร์ แล้วก็เรื่องราคาเวลาขายต่อ สิ่งที่ผมกำลังจะเขียนในบทความนี้เป็นเรื่องของ Apple Music ครับ ซึ่งถ้าเทียบกับ Spotify ที่ผมใช้ฟังเพลงเป็นประจำแล้วก็เคยเขียนไว้ในบทความก่อน(เพียงแค่คุณเปิดใจ) ผมเองก็อยากจะรู้นักว่าไอ้สองบริการเนี่ย มันต่างกันยังไง ทำไมเพื่อนผมหลายคน(ผมจบวิทย์-คอม) ต่างบอกนักบอกหนาว่ามันดีเหลือเกิน.. แล้วมันจะดีกว่า Spotify ที่ผมใช้อยู่หรือเปล่าวะ

ถ้าคุณย้อนกลับไปอ่านบทความเก่าๆ ของผมสักพัก คุณอาจจะทึกทักไปเลยก็ได้ว่าผมน่าจะเข้าข้าง Apple เพราะไม่ว่าจะเป็น Macbook(Macbook Pro Retina), Airport(Apple Airport Extreme), Apple TV(เริ่มซื้อหนังออนไลน์ กับ Apple TV) แล้วไหนจะไอโฟน, อุปกรณ์จิปาถะที่ใช้ก็ต่างอยู่ในบ้านผมทั้งนั้น

อย่างที่บอกครับ ผมชอบ Apple ในเรื่องของซอฟแวร์ แต่ถ้าเป็นเรื่องของฮาร์ดแวร์แล้ว.. ไม่สมราคาเหมือนยี่ห้ออื่น

เริ่มใช้ Apple Music (Family Membership)

ด้วยความอยากรู้ว่ามันต่างกว่า Spotify ยังไงก็เลยคิดว่าจะตัดสินใจลองซื้อมาใช้งานจริงจังซักเดือนนึง แต่แบบ single membership กับ family membership นี่ก็มีความต่างกันอยู่นิดนึงตรงที่ family สามารถแชร์เหมือนหารกันซื้อได้กับเพื่อนอีก 5 คน ซึ่งถ้าตีแล้ว family ใช้ได้สูงสุด 6 อุปกรณ์พร้อมกัน ต่างกับ single ที่สำหรับคนเดียวเลย

ราคา 4.99$ (ประมาณ 150บาท) กับ 14.99$ (ประมาณ 450 บาท) เลยคิดว่าแค่หารกับแฟนสองคนก็น่าจะคุ้มแล้วมั้ง ใครอยากโหลดเพลงอะไรมาเก็บไว้ก็อยู่ที่เครื่องคนนั้น ไม่ต้องเอาเพลงที่ผมไม่อยากฟังมาเก็บให้เปลืองเนื้อที่ด้วย ซึ่งอุปกรณ์ที่รองรับตอนนี้ตามหน้าเว็บก็รองรับ iPhone, PC, Watch แล้วก็จะมี Android กับ Apple TV เร็วๆ นี้

apple music gangs

For You คืออะไรวะ?

นั่นคือคำถามแรกที่ผมมีตั้งแต่หลังจากกดซื้อ ผมขอเอาภาพจากเครื่องคอมมาแปะแล้วกัน ขี้เกียจเข้ามือถือแล้วย่อมาแปะลงที่นี่ ซึ่งถ้าผมเข้าผ่าน iTunes มันก็จะมีหน้าตาประมาณด้านล่างนี้

apple music for you

อ่อลืมบอกไป พอเราซื้อแล้ว จะมีให้กดเลือกประเภทเพลงที่เราชอบก่อนครับ ประมาณพวก rock, pop, electro อะไรทำนองนั้น แล้วก็จะมีให้กดเลือกศิลปินที่ชอบเหมือนกัน แต่มีให้เลือกค่อนข้างน้อยแล้วก็เลือกได้ค่อนข้างลำบาก เสียเวลากับหน้านั้นค่อนข้างเยอะ เรื่อง usability ค่อนข้างไม่ดีเท่าไหร่ ถ้าใครซื้อแล้วรู้สึกเหมือนผมช่วยบอกที

จากรูปด้านบนจะเห็น Playlist (ที่ Apple เป็นคนเลือกให้) ซึ่งโอเคผมชอบ Greasy Cafe นั่นถูกใจเลยครับ แต่จะให้ฟังแต่ของศิลปินคนเดียวตลอดทั้งชั่วโมงหรือทั้งวันเลยว่างั้น

intro to greasy cafe

ซึ่งในภาพจาก For you ตอนแรกแล้ว Playlist ที่ Apple Music จัดมาให้ก็ธรรมดามาก ไม่ได้ฟังแล้วรู้สึกชอบหรือตามประเภทเพลงที่เราฟังเลย

Make available offline

ถ้าตรงตัวเลย ก็คือโหลดมาเก็บไว้ฟังแบบตอนที่เราไม่มีเน็ตใช้ สำหรับผมเองปรกติก็จะต่อ wifi เกือบตลอดเวลาอยู่แล้ว ส่วนมือถือนี่กำลังคิดอยู่ว่า สมมติเราอยู่บนรถไฟฟ้าแล้วแบบ “เห้ย เพลงนี่แม่งแล่นเข้ามาในหัวเลยว่ะ กดโหลดตอนนั้น กดฟังตอนนั้น” ไรแบบนี้มันจะมีสักกี่ครั้งเชียว

apple music make available offline

ส่วนมากคือเราก็โหลดมาเก็บไว้ตอนที่เราอยู่บ้าน อาบน้ำเสร็จ นั่งสบายๆ มีเน็ตก็เข้าไปหาเพลงฟัง หาเพลงโหลดกันตอนนั้นไม่ใช่หรอ พอโหลดแล้วมันก็มาอยู่ในเครื่องเราแล้ว ทีนี้เวลาจะฟังเพลงข้างนอกที่ไหนก็ไม่ต้องใช้เน็ตแล้ว ก็คือฟังเหมือนเพลงที่เราซื้อมาเก็บไว้ที่เครื่องถูกมั้ยครับ

apple_music_-_my_music

แต่ Make available offline เนี่ยมันไม่ได้มีทุกเพลงที่เราอยากฟัง หรือมีขายบน iTunes store นั่นอะสิ สมมติว่าผมอยากจะโหลดเพลง “Please” ของอะตอม ชนกันต์มาเก็บไว้ที่เครื่องผ่าน Apple Music เนี่ยยังไม่มี แต่ใน iTunes store มีขาย เป็นเช่นเดียวกับเพลงหลายเพลงอื่นๆ ของไทย แต่ถ้าคุณฟังเพลงสากลมากกว่า นั่นแทบไม่ต้องห่วงครับมีให้เลือกโหลดมาเก็บฟังแบบออฟไลน์เพียบ

เรื่องอื่นๆ อย่างคุณภาพเสียงนี่ใช้ได้เลยครับ ผู้ฟังเพลงแบบบ้านๆ อย่างเราน่าจะพอใจ แล้วก็เรื่อง sync กันระหว่างเครื่องคอมกับมือถือนี่แทบไม่ต้องห่วงอยู่แล้วของค่ายนี้ แค่ใช้ Apple ID เดียวกันแค่นั้นก็พอครับ เพลงที่เราโหลดจากในคอมจะลงไปอยู่ในมือถือพร้อมให้กดโหลดได้เลย แต่เอาจริงๆนะ ผมว่าคนที่ชื่นชอบการฟังเพลงเป็นชีวิตจิตใจ แล้วก็คิดว่าดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของความรู้สึกเนี่ย ลึกๆแล้วยังไงก็อยากจะซื้อ อยากจะได้จับจองเป็นเจ้าของอยู่แล้ว อย่างผมเนี่ยถ้าชอบเพลงไหนจริงจังเลยก็กดซื้อ ไม่อยากไปนั่งคิดวันหลังที่เราไม่ได้ใช้ Apple Music แล้ว เพลงที่เราชอบนั้นกดฟังไม่ได้เพราะไม่ได้ต่ออายุรายเดือน

Apple Music กับ Spotify

ผมให้ Apple Music เรื่องความเข้ากันได้กับอุปกรณ์อื่นๆ ถึงแม้ว่า Spotify เองจะมีทั้ง mobile app ทั้งบน android และ iphone แล้วก็ยังมี desktop app ไหนจะมี web browser app ที่สามารถเข้าถึงแล้วก็เล่นเพลงทั้งหมดในนั้นได้ แต่ผมคิดว่าของ Apple นั้นทำให้ชีวิตง่ายขึ้นเวลาอยากจะฟังเพลงไหนเพลงนึง แบบอยู่ดีๆ นึกขึ้นได้ก็อยากฟัง ซึ่ง Apple ทำเรื่องของฮาร์ดแวร์ด้วย ในขณะที่ Spotify มีเพียงแค่เรื่องของซอฟแวร์ แค่นี้ความสะดวกมันก็น่าจะมีคำตอบออกมาแล้ว

spotify genre

playlist ของ Spotify นั้นน่าฟังกว่ามาก อาจจะเป็นเพราะจัดหมวดหมู่อะไรก็ตามแต่ แบบให้เราเข้าถึงประเภทเพลงเหล่านั้นได้ง่าย อีกอย่าง Spotify ใครก็สามารถสร้าง playlist แล้วก็แชร์ไปให้คนอื่นฟังได้ เพลงนี่ฟังได้แบบยาวๆเป็นชั่วโมงเป็นวันได้เลย อาจจะเหมาะกับคนประเภทแบบขี้เกียจมานั่งเลือกเพลงต่อจากเพลงที่กำลังจะจบ

อย่าง Youtube เนี่ยมันมี autoplay คลิปถัดไปก็จริง แต่บางทีเราฟังเพลงอารมณ์นึงอยู่กำลังอินๆ พี่แกดันเลือกเพลงร็อคฮาร์ดคอร์มาให้แบบนี้ก็ไม่ไหว สำหรับใครที่ชอบแบบอย่างที่ผมบอก น่าจะถูกใจ playlist ของ Spotify ครับ

เรื่องคุณภาพของเสียง ผมว่าฟังได้ทั้งคู่ ชัด เสียงใส แทบไม่แตกต่างกันมากเลย

spotify playlist

สุดท้ายคือเรื่องของการที่ Spotify ยังจำกัดประเทศอยู่ อย่างเช่นผู้ใช้ในประเทศไทย หากต้องการใช้บริการฟังเพลงของ Spotify เนี่ยอาจจะต้องมีวิธีการที่ยุ่งยากนิดนึง คือหันไปใช้ VPN หรือเปลี่ยน IP อะไรก็ตามแต่ ในขณะที่ Apple Music นั้นเปิดให้บริการในไทยแบบที่ใครก็สามารถใช้งานได้ โดยไม่ต้องหาโปรแกรมเสริมหรือวิธีอะไรที่ยุ่งยาก

และ Spotify ไม่มีเพลงไทย ในขณะที่ Apple Music มี

รักดนตรี ฟังดนตรี. ที่จริงไม่ต้องสนใจว่าจะใช้บริการไหนหรอกครับ เอาที่ตัวเองสะดวก ฟังเพลงได้อย่างสบายใจแค่นั้นก็พอแล้ว ทุกวันนี้ผมยังสลับไปมา อยากฟังเพลงนั่งทำงานยาวๆ ก็จะใช้ Spotify ส่วนตอนไหนที่อยากจะโหลดเพลงเก็บไว้ ฟังเพลงบางเพลง เลือกเพลงเองก็จะเปิด iTunes ครับ

แชร์บทความนี้

    แสดงความเห็นของคุณที่นี่

    กรุณากรอกอีเมล์ของคุณก่อนส่งข้อมูล เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีคนมาตอบข้อความของคุณ