ถ้าชีวิตคือการเดินทางไปเรื่อยๆ
ก็คงมีหลายครั้งที่เราเดินหกล้มขะเมนตีลังกาไม่เป็นท่าอยู่หลายครั้งหลายครา ตั้งแต่เรียนจบออกมานี่ ผมยังคิดไม่ออกเลยว่าตอนไหนที่ไม่หกล้มบ้าง ไม่ว่าจะไปเริ่มใหม่กับอะไรที่ไหน ผลสุดท้ายก็ยังเป็นเหมือนเดิม ทุกรอบที่เราพยายามลุกยืนขึ้นใหม่แล้วก้าวเดินต่อไปข้างหน้าก็แบกความคิดอันใหม่ไปด้วย คิดว่าตัวเองทนทานต่ออุปสรรคที่ก้อนหินใหญ่กว่าก้อนเดิมแค่ไหนก็จะข้ามมันไปได้ เราทำทุกอย่างหนักขึ้น เผื่อเวลาให้ตัวเองและคนรอบข้างน้อยลง ใจจดใจจ่อกับสิ่งที่ตัวเองทำจนบางครั้งหลงๆ ลืมๆ ว่าทำอะไรไปบ้าง ข้ามอะไรไปบ้าง เหยียบอะไรไปบ้าง
จนสุดท้ายก็ไม่พ้น ต้องหกล้มอีกรอบ
แต่คนเราก็เหมือนผ้าใบว่างๆ ที่จิตรกรกำลังจะสร้างสรรค์ผลงาน เหมือนกับไฟล์เปล่าหนึ่งไฟล์ที่โปรแกรมเมอร์กำลังเริ่มเขียนโปรเจคใหม่ เหมือนกับเวลาที่เรากำลังฟื้นตัวจากสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ยามเมื่อโดนคนรักเขวี้ยงความรู้สึกดีๆ ทิ้งไปอย่างไม่อะไรดี ทุกอย่างกลับมาเริ่มที่ศูนย์ก็จริงครับ..
แต่บางครั้งนั่นก็ไม่ได้แปลว่าเราจะต้องเริ่มต้นใหม่ โดยที่ไม่มีอะไรเลย
ทุกครั้งที่เราพยายามทำทุกสิ่งอย่างด้วยความรู้สึกที่เรามี ความรักที่เราทำออกไป ไม่ว่าจะล้มบนฟูก หรือล้มลงบนเศษตะปู ทุกอย่างล้วนติดตัวเรากลับมาเสมอ เพราะไม่ว่าเราได้ทำอะไรด้วยความรักกับสิ่งที่เรารัก สิ่งที่ได้ไม่มีขาดทุน อย่างน้อยก็เท่าทุน ไม่ได้น้อยก็ได้มาก เรื่องมันก็แค่นั้น เรื่องที่น่าเจ็บปวดที่สุดของคนที่รักสิ่งที่เราทำแบบผมคือ วันนึงที่เรารู้ตัวว่าเมื่อก่อนเราเคยให้ได้มากกว่านี้ เคยรักสิ่งที่เราทำมากกว่านี้ แต่อยู่มาวันนึง ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เราไม่สามารถให้มันได้ รักมันได้ ทำมันได้อย่างดีอย่างวันเก่าที่เราเคยทำ
มันไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกครับที่จะทิ้งงานอะไรบางสิ่งบางอย่างที่เราสร้างมันขึ้นมา แต่มันก็ไม่ยากพอที่จะตัดสินใจ
ผมแค่กำลังจะเริ่มลุกขึ้นยืนใหม่อีกครั้ง
เหมือนทุกๆ ครั้งในรอบสองสามปีที่ผ่านมา แล้วก็เพิ่งจะรู้สึกตัว.. ว่าเกิดมา 20 กว่าปีไม่เคยได้ลิ้มรสอะไรต่างๆ นาๆ ได้อย่างเข้มข้นเท่าช่วงเวลาเหล่านี้เลย ผมยังยืนยันที่จะทำในสิ่งเดิมๆ รักในแบบเดิมๆ รักในงานที่ทำ รักช่วงเวลาที่ได้มีความสุขเพลิดเพลินกับเทคโนโลยี ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ประสบความสำเร็จ หรือจะผลักให้ผมล้มลงอีกกี่รอบ.. ก็ยินดีที่จะทำ
เพราะนี่คือช่วงเวลาของผม วันเวลาของผมกลับมาแล้ว
เดี๋ยวล้มเป็นเพื่อนหนะ