หลงสังคม. ไม่ได้แปลว่ามีสังคม
หลายสิ่งหลายอย่างที่ผมมักจะเฝ้ามองแล้วก็ถามตัวเองอยู่ตลอด คนเราเปลี่ยนแปลงออกไปจากสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่อย่างเดิมได้มากน้อยแค่ไหน ทำไมการที่เราเห็นใครต่อใครต่างเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ เปลี่ยนคำพูดคำจา การกระทำ ไม่เหมือนวันก่อนวันเก่าที่เคยเจอเคยทักทาย จะมีสักกี่คนที่เปลี่ยนไปแค่ภายนอก ภายในเหมือนเดิมไม่ต่างจาก 5ปี 10ปีที่เคยเป็น
ผมเข้าใจว่าการเข้าสังคมเป็นสิ่งที่ทำให้เราโตขึ้น แต่การหลงระเริงอยู่ในมันไม่ได้หมายความว่าเราจะโตไปกับมัน บางทีก็แค่สงสัยว่า เราโตขึ้นจริงหรือเปล่า
หรือแท้จริงแล้ว เราแค่รู้ว่าต้องแสดงออกยังไงเมื่อเจอกับสถานการณ์เหล่านั้น
ซึ่งมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการยึดติดสถานะที่เราเคยมีเคยเป็นเคยได้ วันนึงสูญเสียสิ่งเหล่านั้น ก็กลับโหยหาคิดเสียอกเสียดายใช้ชีวิตไปวันๆ โดยไม่ได้คิดถึงความเป็นจริง และคนรอบข้างที่ยังอยู่ ได้แต่บอกกับตัวเองอยู่ทุกวันว่า “ตอนนี้อายุก็มาก คงทำแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว” เมื่อใดก็ตามที่ความรู้สึกเหล่านั้นยังไม่คลายความเจ็บปวด จมอยู่กับภาวะเสียดาย ก็คงก้าวต่อไปข้างหน้าไม่ได้ ไม่ต่างอะไรกับการยึดติดสังคมที่ตัวเองเคยมี
ผมเคยนับถือเพื่อนร่วมงานคนนึงครับ
เมื่อก่อนผมเคารพแล้วก็คิดว่าจะเอาเป็นแบบอย่าง เพราะช่วงเวลาที่เคยทำงานด้วยกันนั้น เขาเป็นคนขยันมาก มันคงจะมีไม่กี่คนหรอก ที่เราเองอยากจะยอมรับซึ่งถ้าไม่ขยันกว่าทำงานหนักกว่า ก็คงต้องดีกับเรามาก จนวันนึงสิ่งต่างๆ เริ่มเปลี่ยนไปในระยะเวลาอันสั้น สังคมค่อยๆ เปลี่ยนเขาออกไปจนเดี๋ยวนี้กลายเป็นว่าเราเริ่มรู้สึกเคลือบแคลงในความคิดของเราเอง
“ไอ้เหี้ย คนที่กูเคยยอมรับนับถือ หายไปไหนแล้ววะ”
คำถามมากมายเริ่มย้อนกลับมายังผู้ตั้งคำถามอย่างผม.. ถ้าวันนึงใครสักคนที่เราต้องการเอาแบบอย่างนั้นเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเพราะการหลงสังคม แล้วเราจะต้องไปหาคนที่เราต้องการเอาแบบอย่างนั้นใหม่ หรือสร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาเอง แล้วไม่ยอมรับใครที่เคยเป็นแบบนี้เลย
การมีสังคมเป็นเรื่องที่ดีครับ แต่แค่คงไม่ใช่กับบางคน
point ที่สำคัญจริงๆ แล้วมันอาจจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนอื่น สิ่งที่สำคัญแท้จริงอาจจะเป็นตอนที่ลมพัดแรง พายุโหมกระหน่ำ แต่มีต้นไม้บางต้นยืนหยัดไม่โค่นล้มเพราะโอนเอนอย่างน้อบน้อมตามสภาพอากาศ
ขอให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีโดยปราศจากการตั้งคำถาม.. ที่อาจจะย้อนกลับมาถามผู้ตั้ง