ประสบการณ์ซื้อหนังออนไลน์ครั้งแรก
ผมเป็นคนชอบดูหนังอยู่แล้ว ยิ่งถ้ามีหนังน่าสนใจเข้านี่ก็จะเข้าไปดูที่โรงทุกอาทิตย์ แต่ถ้ามีหนังเกรดบีอะไรที่อยากดู หรือหนังดีบางเรื่องที่เข้าโรงแต่ช่วงนั้นไม่มีเวลาเข้าไปดูก็จะไปหาโหลดตามเว็บไซต์ต่างๆ มาดูที่บ้านเองแล้วก็ลบไป พูดง่ายๆ ก็คือโหลดหนังเถื่อนมาดูนั่นแหละครับ ข้อดีอย่างเดียวที่เห็นได้ชัดก็คือไม่ต้องเสียเงินไปซื้อหรือเช่ามาเก็บไว้ ยิ่งหนังบางเรื่องอยากจะดูแค่รอบเดียวแล้วก็ผ่านไป ไม่มีอะไรให้จดจำก็จะใช้วิธีนี้ แต่เมื่ออาทิตย์ก่อนแฟนผมซื้อ Apple TV มาให้เป็นของขวัญวันเกิด
ผมใช้ Apple device อยู่แล้วไม่ว่าจะเป็น macbook ที่ใช้ทำงานอยู่ประจำ, Apple Airport Extreme ที่เคยได้เขียนถึงไปในบทความเก่า(รีวิว Apple Airport Extreme) รวมถึง iPhone ด้วย สำหรับผมแล้วถือเป็นของขวัญที่ชอบมากชิ้นนึงเพราะมัน match กับอุปกรณ์ที่มีอยู่ ทั้งๆที่เมื่อก่อนตัวเองก็แอบเล็งจะสั่งซื้อ Chromecast ไว้ แต่ได้ยี่ห้อเดียวกันทั้งหมดก็ดีครับ หมดปัญหาเรื่อง compatible ทุกอย่างง่าย ชีวิตง่าย แค่นั้นพอ
บังเอิ๊ญ บังเอิญผมเพิ่งซื้อคีย์บอร์ดใหม่ที่เป็น mechanical มาใช้แทน Apple wireless keyboard ได้สักพัก หลังจากที่เก็บมันไว้ในตู้อยู่ร่วมสองอาทิตย์ก็ได้ที่ลงไปใช้กับ Apple TV อย่างพอดิบพอดี ตอนแรกนึกว่าจะได้เอาไปขายหมุนเงินเสียแล้ว ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่าผมไม่เคยซื้อหนังออนไลน์ผ่าน iTunes store มาก่อน อาจจะมีแค่ประสบการณ์ซื้อเพลงเท่านั้น ว่าแล้วก็ลองต่อสายเสียบเข้าเลยดีกว่า
เรื่อง unbox หรือแกะกล่องนี่ไม่ต้องพูดถึงอยู่แล้ว ส่วนตัวคิดว่าไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นไหนของ Apple เวลาเปิดกล่องนี่ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีตั้งแต่แรกพบ เป็นสเน่ห์อย่างนึงที่ออกแบบมาได้อย่างน่าประทับใจไม่แพ้เรื่องอื่นเลย อุปกรณ์ข้างในก็มี สาย AC, Apple TV, Remote แล้วก็คู่มือ ง่ายๆแค่นั้นครับ เริ่มเสียบสาย AC กับด้านหลังของตัว Apple TV จากนั้นเสียบสาย HDMI ต่อเข้าจอทีวีเลยเป็นอันเรียบร้อยสำหรับเรื่อง hardware
ที่ด้านหลังของ Apple TV จะมีพอร์ตสาย AC, HDMI, USB, Optical audio แล้วก็พอร์ต LAN ในกรณีที่บ้านไม่มี Wifi ครับ
แน่นอนว่าการตั้งค่าถือเป็นกำแพงที่สูงลิบลิ่วสำหรับคนที่ไม่ค่อยสันทัดเรื่องเทคโนโลยี แต่ขึ้นชื่อว่า Apple ก็ถือว่าอาจจะเป็นข้อยกเว้นก็ได้ครับ พอเสียบปลั๊กเปิดทีวีขึ้นมาก็จะขึ้นวิธีการตั้งค่าพื้นฐาน จะตั้งค่าด้วย macbook หรือ iPhone ก็ทำได้เหมือนๆกัน ตรงนี้ผมจำไม่ได้ละว่าทำอะไรไปบ้าง แต่พอจำได้ว่าใช้แค่สองถึงสามขั้นตอนง่ายๆ ก็เปิดใช้ Apple TV ได้แล้ว
ไม่จำเป็นต้องโทรถามเพื่อนที่เก่งเรื่องคอมหรือเทคโนโลยีหรอกครับ ทำตามที่เห็นผ่านหน้าจอทีวีก็เสร็จได้ผลลัพธ์แบบเดียวกันในเวลาไม่ถึง 3 นาที (เพื่อนผมเวลามันทำไรไม่ได้ก็จะโทรมาหา อะไรทำนองนี้เหมือนกัน)
ติดตั้งตอนแรกอาจจะใช้เวลาอัพเดท firmware สักพักนึง.. ประมาณ 5-10 นาทีขึ้นอยู่กับความเร็วอินเตอร์เน็ตของเรา การควบคุมเมนูต่างๆ จะใช้เพียง remote ที่ให้มาพร้อมกันก็ได้ครับ เลื่อนขึ้นลง มีปุ่มอยู่ไม่กี่ปุ่มแต่ก็ครอบคลุมการใช้งานทุกอย่างแล้ว หรือใครที่มีคีย์บอร์ดเหลือไว้อย่างผมก็ pair bluetooth ช่วยเวลาพิมพ์หาอะไรใน Youtube หรือ iTune store ก็สะดวกดีเหมือนกัน
หลังจากเชื่อม Apple ID เข้าลงไปใน Apple TV เรียบร้อยแล้วเราก็จะสามารถเข้าถึงไฟล์ที่เราซื้อไว้ได้ อย่างเช่นของผมซื้อเพลงไว้ประมาณ 300 เพลง เราก็สามารถเลือกเพลงที่ซื้อไว้ให้เล่นผ่าน Apple TV ได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับคอม หรือมือถือแต่อย่างใด สะดวกมากในระดับนึงเลย
ส่วนหนังที่มีขายใน iTune store นั้นก็มีหนังให้เลือกเยอะมาก บางเรื่องอาจจะไม่มีเสียง/ซับไทย ซึ่งก่อนซื้อก็จะมีบอกชัดเจนอยู่ก่อนแล้ว หนังใหม่ออกมาไวพอสมควร(ประมาณหนึ่งเดือนหลังออกโรง) ที่สำคัญคือคุณภาพของภาพและเสียงที่เป็นระดับ FULL HD นั้นคมชัดทุกรูขุมขน หนังที่เราซื้อเก็บไว้สามารถเรียกเปิดมาดูใหม่ก็ครั้งก็ได้ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ยังดูได้อยู่ แต่ราคาถ้าเทียบกับคนที่ไม่เคยซื้อหนังลิขสิทธิ์อย่างผมเลยก็ถือว่าแพงเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
เฉลี่ยแล้วตกเรื่องละประมาณ 600-700 บาท หรือจะมีบางช่วงที่ลดราคาเหลือ 200-300 บาทก็มี
สรุปผ่านไปร่วมเดือนผมซื้อหนังมาเก็บไว้ 4 เรื่อง เป็นหนังดีที่อยากจะเก็บไว้ดูในอนาคตถึงแม้ว่าจะเคยดูแล้วในโรงก็ตาม แต่ถ้าวันเวลาผ่านล่วงเลยไปสัก 2-3 ปีแล้ววันนึงนึกอยากจะย้อนกลับมาดูเรื่องนี้อีก ก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปนั่งหาโหลดตามเว็บเถื่อน แค่ต่อเน็ต.. เปิด Apple TV แล้วดูหนังที่ stream มาแบบสบายๆ ติดอยู่เรื่องเดียวที่ราคาต่อเรื่องของหนังนั้นยังแพงอยู่เท่านั้นเอง