พร้อมด้วยฟิล์มม้วนที่ 5
ผมจำได้ในช่วงตอนเด็กๆ ที่เคยได้ไปดอนหอยหลอดกับครอบครัว ซึ่งนั่นก็ผ่านมาราว 10 ปีเห็นจะได้ ตอนนั้นเองที่อะไรต่ออะไรก็ยังไม่เจริญเหมือนในตอนปัจจุบัน เราไม่มีอินเตอร์เน็ต หรือ 3G ที่คอยอำนวยความสะดวกในการอัพเดทเรื่องราว ไม่มีกล้องดิจิตอลราคาแพงที่สามารถเก็บภาพได้สุดแสนจะประทับใจ ที่จำได้อย่างเดียวคือภาพลอยเลือนลางที่อยู่ในหัว นึกคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ซึ่งค่อนข้างน่าเสียดายไปตามกาลเวลา
เมื่อช่วงสองอาทิตย์ก่อน ผมได้ไปที่ดอนหอยหลอดอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้ไปนานแสนนาน บอกตามตรงว่าช่วงสิบปีที่แล้วจำทางไปไม่ได้ แล้วก็ไม่ได้เป็นคนที่ขับรถไปเองด้วย (แน่ล่ะ ก็มึงยังเด็กน้อยขนาดนั้น) ตอนไปเองคราวนี้เลยต้องใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยเป็นเรื่องปรกติเหมือนไปที่อื่นๆ นั่นก็คือ Google maps ผมออกเดินทางวันอาทิตย์ช่วงเวลาประมาณ 3 โมงเย็น จากกรุงเทพฯ ไปถึงดอนหอยหลอดก็ประมาณชั่วโมงเศษตามสภาพจราจรในเมือง
ไหนๆ ก็ไปแล้วก็เลยติดกล้องฟิล์มไปด้วย ซึ่งม้วนนี้เป็นม้วนที่ 5
ดอนหอยหลอดในหัวของผมค่อนข้างต่างกับตอนที่ไปเห็นจริงมากอยู่ เริ่มจากถนนเส้นทางลัดไป จนถึงร้านอาหารมากมายที่มีคนโบกให้เข้าร้านตลอดเส้นทาง ที่จริงผมคิดภาพว่าจะมีหาดไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา แล้วมีคนหยอดปูนขาวประปรายตามหาด
แต่นั่นมันก็แค่เมื่อก่อนแหละครับ
หลังจากได้ที่จอดรถจอดรถแถวศาลกรมหลวงชุมพร ก็ขึ้นไปสักการะเพื่อความเป็นศิริมงคล แล้วก็เริ่มตระเวณเดินถ่ายรูปตรงสวนย่อมใกล้กัน ผู้คนมากมายออกมานั่งพักจับกลุ่มกันเป็นกลุ่มใหญ่ บ้างก็เป็นครอบครัว เพื่อนฝูง ญาติพี่น้องพาหลานเหลนมาวิ่งเล่นตอนเย็นๆ ปูเสื่อนั่งกับพื้นกินลมชมวิวตามประสาวันอาทิตย์
ช่วงตลาดนั้นจะอยู่ก่อนทางเข้าศาล เรียงกันตามริมฟุตบาทเพื่อขายอาหารทะเลจำพวก หอย กั้ง และของแห้งที่เก็บไว้กินได้อื่นๆ ซึ่งก็ดูอบอุ่นดี ประกอบกับช่วงเวลาเย็นๆ แสงไม่แรงมากทำให้ไม่ต้องหยีตาถ่ายรูป หลังจากเดินเล่นอยู่สักพักก็แวะกินข้าวที่ร้าน คุณเป๋า ดอนหอยหลอดตามคำแนะนำของ Google Maps (แม่งแนะนำได้ยันร้านอาหาร)
หลังจากกินข้าวทำอะไรเรียบร้อย ก็แวะซื้อของฝากเล็กๆ น้อยๆ ก่อนกลับบ้าน ซึ่งนั่นก็เป็นเวลาราว 5 โมงเย็น พ่อค้าแม่ค้าก็เริ่มเก็บของกันพอดี ช่วงระหว่างทางออกถนนใหญ่นั้นดูบ้านๆ ดีครับ แวะเก็บภาพเล็กน้อยตามประสาคนอยากถ่ายรูป
คุณผู้อ่านเคยคิดกันบ้างมั้ยครับ.. ภาพเลือนอะไรที่อยู่ในหัวเราเมื่อสมัยเด็กๆ หรือ มันผ่านมานานร่วมสิบปีจนแทบจะไม่หลงเหลือรายละเอียดใดๆ ไว้แล้ว เรายิ่งอยากจะไปซ้ำ ไปเก็บ ไปย้ำภาพนั้นให้กลับมาชัดเจนเหมือนเดิม บางทีมันก็เหมือนเป็นเรื่องสนุกดีสำหรับผม เมื่อก่อนเราไม่มีอุปกรณ์ หรือ ตัวช่วยใดๆ เพื่อบันทึก และ เก็บความทรงจำได้ดีเท่าปัจจุบันเลย อีกทั้งสมองก็เก็บได้ไม่มาก ไม่ชัดเจนตามกาลเวลาของมัน การถ่ายภาพในแบบที่เราชอบคงเป็นทางเดียวสำหรับผม
ที่ช่วยให้ช่วงเวลาเหล่านั้นดูเหมือนอยู่ตราตรึงในหัวให้นานขึ้นกว่าเดิม..