โปรเจคจบ.. ที่(ยังไม่)จบ
หลังจากห่างหายทิ้งบล็อกไม่ได้เข้ามาอัพเดทนานที่สุดเท่าที่เคยเป็นมาถึง 2 อาทิตย์ เนื่องด้วยงานที่เรียงคิวกันเข้ามามากล้น ไม่ว่าจะงาน freelance งานที่ออฟฟิศเอง หรือแม้แต่งานที่คิดว่าผ่านไปแล้ว-จบไปแล้วอย่าง Senior Project ที่ผมได้ทำเรื่อง “เว็บแอพฯ สำหรับหุ่นยนต์ MK” เรื่องมันมีอยู่ว่าเมื่อประมาณปลายเดือนตุลาที่ผ่านมา ทางคณะที่ผมจบได้ประกาศรายชื่อโปรเจ็คที่เห็นว่า “น่าจะ” เข้าตากรรมการ และ เรียกให้มาขาย หรือ นำเสนอโปรเจ็คของตัวเองต่อหน้ากรรมการภายนอกท่านอื่นๆ ที่มีประสบการณ์ในวงการไอที ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อทดสอบความสามารถ และ ความน่าสนใจของตัวโปรเจ็คที่นักศึกษาได้จัดทำขึ้นมาเอง
แล้วหนึ่งในนั้นก็ดันเป็นโปรเจ็ค “Web application for mk robot” กลุ่มของตัวเองที่ได้เข้ารอบในหมวด Enterprise app.
ด้วยความที่เห็นว่าถ้าเอาโปรเจ็คที่เคยเขียนขึ้นไว้ก่อนตอนยังเรียนอยู่ไป “ขาย” ให้คณะกรรมการฟังแล้วดูจะไม่เข้าที และ จะเป็นอะไรที่ธรรมดามากๆ เลยวางแผนจะเขียนตัว back-end ขึ้นมาเสียใหม่เลย โดยอิงจากประสบการณ์ที่เคยทำงานอยู่ ณ ปัจจุบันเข้ามามีส่วนร่วมด้วย อย่างเช่น การจัดวางรูปแบบ, UX UI แล้วก็จัดระบบต่างๆให้ดูน่าใช้งานมากขึ้นมาจากเดิมอีกนิดหน่อย โดยจะตัดฟังก์ชั่นที่ยังใช้ได้ไม่เต็ม 100 ออกไป (ดึงไฟล์จากหุ่นยนต์) เริ่มแรกก็นั่งลองขีดๆ เขียนๆ แบบเว็บไซต์ที่อยากจะได้มาเป็น back-end อยู่นานพอสมควร sketch แบบลงสมุดไปหลายหน้าจวบจนสุดท้ายก็ได้แบบที่คิดว่า “ค่อนข้าง” จะถูกใจทั้งคนใช้ และ คนทำ โดย interface ทั้งหมดเน้นไปที่ “ความเคยชิน” ของผู้ใช้งานหลักเป็นทุนเดิมก่อน อย่างเช่นออกแบบ Sidebar ที่ fix ไว้ที่ด้านซ้าย และ เมื่อเข้ามาอยู่ในจุด breakpoint ที่แคบจะถูกเด้งไปยึดในส่วนของด้านบนแทน (คล้ายๆ กับ Social network บนมือถือทั่วไป)
นั่งขึ้นเว็บใหม่อยู่ได้ประมาณอาทิตย์นึง(ใช้เวลาหลังเลิกงานประจำ) จนขึ้นมาเป็น UI บางส่วนที่ค่อนข้างหน้าประทับใจ ตอนแรกในใจก็คิดว่าคง programming เองวันสองวันน่าจะทัน โดยเอา code เก่ามาเขียนต่อนิดๆ หน่อยๆ แต่พอมาถึงวันก่อนที่จะต้องนำเสนองานกลับเขียนไม่ทัน ขาดไปประมาณ 20% เห็นจะได้ เลยคิดว่าไม่ไหวแล้ว นี่ก็เกือบเช้าแล้วเดี๋ยวจะไม่ได้นอน ไปนำเสนองานไม่รู้เรื่องอีก เลยตัดใจเขียนได้เท่าที่เขียน ที่เหลือก็วัดดวงกับกลเม็ดการพูดเอาเองเสียดีกว่า
มันไม่ได้เหมือนอย่างที่คิดไว้เสียเท่าไหร่
คุณเคยเป็นกันบ้างไหมครับ เราวาดรูปทุกสิ่งอย่างในหัวสมองซะดิบดีเลย ว่าการนำเสนอมันน่าจะเป็นแบบนี้ๆ ในบรรยากาศ และ ผู้ชมแบบนี้ๆ ทั้งๆ ที่เราเองก็ยังไม่เคยได้เห็น ไม่เคยได้สัมผัสบรรยากาศ หรือ เห็นอะไรเลยแม้แต่น้อย เราคิดเสมอว่ามันต้องมีเวทีมีคนดู วาดฝันเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตจนบางที เราก็ตระหนักเกินไปจนทำให้บีบตัวเอง สร้างงานตัวเองได้เสร็จไม่ทัน แต่ถ้ามองกลับกัน.. นั่นก็ดีแล้วครับสำหรับผม เพราะไม่ต้องเตรียมตัวอะไรเลย ก็แค่ “ขาย” ในสิ่งที่เราเป็น “ขาย” ความคิดของเรา ทิศทางของเรา จุดยืนของเราอย่างตรงไปตรงมา จนบางครั้งเราก็ไม่รู้เลยว่าเราได้พูดอะไรออกไปบ้าง ไม่ได้สนใจเลยว่าเขาเหล่านั้น หรือ “ใครคนใด” จะชื่นชอบ หรือ เกลียดชังในผลงานเราเลย ในเมื่อท้ายที่สุดแล้ว “เรา” เองที่โฟกัสแค่เรื่อง “ความในใจ” ของสิ่งที่เราทุ่มเทเขียนมันออกไปจาก ตัวตนของเรา
ถึงแม้ว่างานจะเสร็จไม่ทัน แต่เราก็เหมือนกับว่าเราค่อนข้างพอใจกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นมา เราทำเต็มที่ ที่สุดเท่าที่เราอยากจะให้มันเป็น แม้ในเวลาดังกล่าวเราอาจจะไม่ได้คิดถึงเรื่องใดๆอื่นเลย ไม่เคยคิดเลยว่าเขาเหล่านั้นจะรู้สึกชอบหรือเกลียดสิ่งที่เราเป็น แต่เรารู้สึกว่า เราได้ลบล้างคำสบประมาทที่เมื่อก่อนเราถูกกดดันอยู่บ่อยๆ คำหลายคำที่บอกว่าเรา “พูดไม่รู้เรื่อง” และ รวมถึงคำหลายคำที่เหมือนจะบ่งบอกเราเสมอมาว่า “เราคิดไม่เหมือนชาวบ้าน” บางทีมันก็ไม่เห็นจะต้องแคร์อะไรเลยว่าสิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันนี้มันเป็นสิ่งที่ใช่สำหรับเราหรือเปล่า หรือ มัน “คง” ยังไม่ใช่ และมีเรื่องอื่นที่เหมาะสมกว่า แค่เรารู้ว่าทุกวันนี้ที่มีเราค่อนข้างรู้สึกรักใน code ทุกตัวที่เราบรรจงเขียน แค่รู้สึกว่าเรายังรักในการที่จะสร้างอะไรบางอย่างที่ยากให้เป็นเรื่องง่าย แค่รู้ว่ายังรักที่จะทำอะไรบางอย่างเพื่อใครสักคน ยืนอยู่เคียงข้างใครสักคนแล้วบอกว่า.. ผมยืนอยู่ข้าง user เสมอ ตราบใดที่ “ครอบครัว” ของผมยังเป็นผู้บริโภค
เราว่าบางที.. มันก็ไม่สำคัญเท่าไหร่หรอก ว่าเรารู้สึกว่า ใช่ หรือ ไม่ใช่, บางทีมันสำคัญแค่ว่า เรารู้สึกดีแค่ไหนที่ได้ทำอะไรเพื่อใครบางคน เสียมากกว่า.