กรุงเทพมหานคร

เมืองหลวงที่น่าอยู่.. สำหรับฉัน ?

บ้านผมไม่ได้อยู่จังหวัดกรุงเทพฯ แต่ด้วยความที่ว่าชีวิตประจำวันของผมนั้นข้องเกี่ยวกับมหานครแห่งนี้อยู่ทุกวัน เพราะฉะนั้นกรุงเทพฯ เปลี่ยนไปยังไง จะมากจะน้อย ชีวิตประจำวันของผมก็ต้องเปลี่ยนตามด้วย คนกรุงเทพฯ บ่นว่ารถติด ผมก็รู้สึกไม่ต่างกัน ในสมัยผมเป็นเด็ก ผมคิดเสมอว่าที่ไหนจะสุขสบายได้เท่ามหานครแห่งนี้อีกแล้ว ความเจริญมากมาย ประกอบกับ ความทันสมัย และ ความสะดวกสบาย..

ผมไม่รู้ว่าตัวเองเปลี่ยนความคิดเหล่านั้นไปตอนไหน แต่ที่ผมรู้ตอนนี้ คือ ผมไม่อยากใช้ชีวิตประจำวันกับมหานครที่แสนวุ่นวายนี้อีกแล้ว จะไปทางไหนก็รู้สึกแออัดมากขึ้น มลพิษมากขึ้น จริงอยู่ความสะดวกสบายนั้นก็เพิ่มขึ้นตาม แต่ มันจะเป็นผลดีจริงๆน่ะหรือ เมื่อคนเราขวนขวายแต่เทคโนโลยีที่สุดแสนจะทันสมัย เดี๋ยวนี้สังเกตุได้อย่างนึง เวลาไปทานข้าวไม่ว่าจะร้านอาหาร หรือ ร้านนั่ง สิ่งที่ขาดมือไม่ได้เลยก็เห็นจะเป็นเจ้าโทรศัพท์มือถือที่เราให้ความสนใจมันมากเหลือเกิน.. “มือถือ, เทคโนโลยีทำให้คนไกลกันใกล้กัน และ ทำให้คนใกล้กัน .. ไกลกัน” ผมเห็นด้วยกับคำกล่าวอ้างนี้นะ

ผมคงคิดว่ามีหลายคนคิดแบบเดียวกับผม.. ถ้าไม่ติดภาระ, สิ่งที่ต้องทำอะไรอยู่ที่มหานครแห่งนี้ ผมหรือพวกเขาเหล่านั้นคงจากไปหาที่อยู่ใหม่นานแล้ว เหมือนกับว่า เวลาไปเที่ยวเขาใหญ่บ้าง เกาะพีพีบ้าง ผมก็บ่นไม่ขาดว่า อยากจะใช้ชีวิตที่นี่จัง ไม่ต้องมีอะไรวุ่นวาย ไม่ต้องนั่งอยู่หน้าคอม ไม่ต้องกระตือรือร้นใช้ชีวิตเร่งรีบเหมือนคนเมืองส่วนใหญ่เขาทำกัน .. ผมไม่รู้นะ ผมไม่ได้มีฐานะร่ำรวย ผมไม่รู้ว่าคนรวยส่วนมากเขาเร่งรีบหรือเปล่า เพราะที่ผมเห็นนั้นมีแต่การแข่งขันกันไปเสียเกือบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพนักงานบริษัทบ้าง นักศึกษาอย่างผมบ้าง

แยกพระราม 4

ผมรู้ว่าผมยังเด็ก ประสบการณ์การทำงานอะไรก็ยังไม่มี แล้วจะไปรู้อะไร .. ใช่ครับ ผมยังเด็ก ผมกำลังเขียนในมุมมองของเด็กคนนึงที่เมื่อก่อนรักมหานครแห่งนี้มากมายเหลือเกิน.. ตอนนี้ผมก็ยังรักกรุงเทพฯ อยู่นะ แต่รักบางเวลา เวลาที่มีงานเทศกาลหยุดยาวอย่าง วันปีใหม่ วันสงกรานต์ ผมรักมันกลับมาสงบอีกครั้ง ไม่วุ่นวาย อยากไปไหนก็สะดวก

เมื่อก่อนตอนที่ผมยังไม่มีรถขับไปไหนต่อไหน ไปเรียนก็ต้องนั่งรถ 3 ต่อกว่าจะถึง ม. กลับก็อีก 3 ต่อกว่าจะถึงบ้าน ผมก็ค่อนข้างเห็นใจกับคนที่ต้องนั่งต่อเยอะกว่าผม เพราะแค่เท่านี้ก็เหนื่อยแล้ว ไหนบางคนต้องมีภาระความรับผิดชอบหรืออะไรที่ต้องทำอีกเมื่อมาถึงบ้าน กว่าจะได้นอนก็ดึกดื่นมืดค่ำ.. สมองผมก็คิดอยู่แต่อย่างเดียวว่า ถ้ามีรถคงไม่ลำบากแบบนี้ แต่ก็แค่ช่วงแรกเท่านั้นแหละครับที่คิดแบบนี้.. ผมขับรถมาจะร่วมปีที่ 4 แล้ว สมัยนั้นต้องบอกว่ารถยังไม่มากเท่าตอนนี้ ไปไหนมาไหนก็ค่อนข้างสะดวกขึ้นหน่อย จนเริ่มมาปีสองปีหลังผมเริ่มจะไม่อยากขับรถละ กลับไปนั่ง BTS, MRT เอาด้วยเหตุผลที่ว่า “รถแม่งมีเยอะกว่าถนนเสียอีก”

แยกพระราม 4

ก็ยินดีด้วยกับคนที่ได้รถใหม่ป้ายแดงกับโครงการรถคันแรก หลายๆคนจะได้สบายขึ้น ไม่ต้องนั่งรถ 3 – 4 ต่อ แล้วไหนจะภาระอะไรจิปาถะอีก ผมมันก็แค่คนตัวเล็กๆ ที่ต้องใช้ชีวิตอิงกับเมืองหลวง เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ได้แต่เปลี่ยนทัศนคติของตัวเอง เปลี่ยนการกระทำของตัวเองเนี่ยแหละที่เห็นจะทำได้ .. ก็อย่างว่า เราทุกคนกำลังแก้ปัญหาที่ปลายเหตุกันอยู่หรือเปล่า อันนี้ผมก็ไม่แน่ใจ

รถที่เราขับทุกวันนี้อาจจะไม่ได้อิสระอย่างที่คิดหรอกครับ คุณวางแผนจะไปไหน คุณยังต้องคำนวณเวลารถติดทุกครั้ง ไหนที่จอดรถอีก ไหนน้ำมันขึ้นอีก ค่าบำรุงรักษา เลิกงานอยากกลับบ้านพักผ่อน แต่รถก็ติดเป็นชั่วโมงๆ แท้จริงแล้วความอิสระของเราติดอยู่ในห้องโดยสารหรือเปล่า ไปไหนต่อไหนไม่มีที่จอด จอดไม่ดี คุณก็ห่วงรถอีก สำหรับผมแล้วทุกวันนี้ก็ได้แต่หวังให้รถไฟฟ้ามันมีมากขึ้น แล้วก็เสร็จไวขึ้นเท่านั้นแหละครับ ..

Jir4yu.

แชร์บทความนี้

    แสดงความเห็นของคุณที่นี่

    กรุณากรอกอีเมล์ของคุณก่อนส่งข้อมูล เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีคนมาตอบข้อความของคุณ