5 วัน 4 คืน ที่ เมืองกระบี่ – เกาะพีพี
ช่วงวันที่ 20 – 24 ธันวาคม ที่ผ่านมา ผมได้ใช้เวลาส่วนตัวหนีไปพักผ่อนที่ภาคใต้ของไทยเราโดยเจาะจงว่าไปเที่ยว จังหวัดกระบี่ ดำน้ำ กินอาหารทะเลสดๆ เก็บบรรยากาศก่อนจะขึ้นมาลุยโปรเจคจบต่อในช่วงต้นปีหน้า ทริปส่งท้ายปีนี้เกิดขึ้นเพราะคิดว่าตัวเองคงมีเวลาเที่ยวน้อยลงยิ่งเป็นช่วงที่ใกล้จะพ้นสภาพกับการเป็นนักศึกษาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้แล้ว เกรงว่าจะไม่มีเวลามาเที่ยวอย่างที่มีในตอนนี้ และอีกเหตุผลหนึ่งที่เป็นแรงผลักดันที่ทำให้ผมอยากจะไปมากมายเหลือเกิน.. คือเพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่าง
อะไรบางอย่างที่ว่า.. ก็คือหลายอย่างที่ผมคิดว่าผมทำไม่ได้ หรือ เพื่อปรับตัวเอง เพื่อลบคำสบประมาทจากใครต่อใคร และ เพื่อพิสูจน์ว่า ผมพยายามทำทุกอย่างให้เต็มที่ โดยไม่จำเป็นต้องคิดถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น หรือ ตามมาแต่อย่างใด และขอขอบคุณผู้ร่วมเดินทางที่ช่วยทำให้เกิดทริปนี้ขึ้น ได้แก่ @Tat, @Sujira, @aoypalida รูปภาพที่อยู่ภายในบทความนี้ถูกถ่ายด้วยกล้องใหญ่ และ กล้องมือถือ นี่อาจจะเป็นทริปพักผ่อนที่ไม่ได้ดีเลิศเลอจนถึงขึ้นเก็บรายละเอียดทุกอย่าง แต่ มันก็ทำให้ผมได้รู้อะไรหลายต่อหลายอย่างกลับมา
ขึ้นเครื่อง กรุงเทพฯ – กระบี่
เลือกเดินทางด้วยเครื่องบินเพราะต้องการประหยัดเวลาที่ใช้ และ ท่องเที่ยวตามแพลนที่วาง เที่ยวบินที่ผมเลือกใช้บริการในครั้งนี้เป็นของ Air Asia ทั้งไปและกลับ โดยทำทุกอย่างผ่านอินเตอร์เน็ต ทั้งซื้อตั๋วเลือกที่นั่ง และ จ่ายเงิน รอบเช้าขึ้นเครื่อง 6 โมง ผู้โดยสารเต็มลำใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที ก็ถึง สนามบินนานาชาติกระบี่ พร้อมกับสภาพอากาศที่กำลังดี ฟ้าปิดและคาดว่าวันนี้น่าจะมีฝนตก
ถือเป็นโชคดีของผมเล็กน้อยที่มีเพื่อนพ่อที่คอยจัดการหารถ และ ดูแลเรื่องการเดินทางภายในเมืองกระบี่ จึงไม่ต้องซื้อตั๋วขึ้นรถบัส หรือ เช่ารถเหมาขับไปเที่ยวไหนต่อไหน ส่วนใครที่ต้องเดินทางเองก็ลองดูเรทราคาและการเดินทางตามภาพถ่ายที่แนบไว้นั่นแหละครับ เป็นที่น่าสังเกตุอย่างนึงว่า ชาวต่างชาติค่อนข้างเยอะมาก ทั้งบนเครื่องบินและตัวสนามบินเอง
ที่พักของผมสองคืนแรกจะอยู่ในตัวเมืองกระบี่ไม่ไกลจากตลาด และ ถนนคนเดิน มากนัก โดยผมพักที่ ไทย โฮเต็ล กระบี่ ค่าห้องตกคืนละ 650 บาท ซึ่งค่อนข้างถูก และ ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้พอสมควร ผมเดินทางไปเที่ยวตามจุดสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ด้วยรถสองแถว โดยเหมาเป็นวันให้ลุงขับรถที่ชื่อ โกตี๋ พาเที่ยวจุดต่าง ๆ อย่างเช่น สระมรกต, คลองท่อม, น้ำตกร้อน และ วัดถ้ำเสือ
ที่แรกที่เรามาถึงกันคือที่ น้ำตกร้อน ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองกระบี่ราว 40 กิโล ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที ระหว่างทางก็ชื่นชมธรรมชาติไปเรื่อย และ แน่นอนอย่างนึงคือ รถนั้นไม่ได้ติดเหมือนกรุงเทพฯ ทำให้เรามีเวลาทำอะไรต่ออะไรได้หลายอย่างและตามแพลนที่วางไว้มากขึ้น
ที่ น้ำตกร้อน นี่ค่อนข้างเป็นธรรมชาติมาก ในวันธรรมดาก่อนเทศกาลหยุดยาวคงเป็นเวลาที่เราเลือกกันได้อย่างพอเหมาะ เพราะนักท่องเที่ยวนั้นไม่เยอะนัก และทำให้ถ่ายรูปในบางจุดได้รูปสวยๆเป็นส่วนตัวดีด้วยเช่นกัน
มันก็เป็นอะไรที่น่าสงสัยอยู่เหมือนกันสำหรับผม ทำไมมันถึงร้อน และ ถ้าแช่ไปนาน ๆ แล้วมันจะมีประโยชน์ยังไง น้ำที่ผมลงเล่นนั้นไม่ได้ร้อนขนาดเล่นไม่ได้ น้ำที่นี่อุณหภูมิใกล้เคียงกับที่สปาใน กรุงเทพฯ มีลักษณะเป็นแอ่ง 2 แอ่งให้เล่น และ มีห้องน้ำไว้คอยบริการอยู่ข้าง ๆ บ่อ หลังจากเล่นที่บ่อนี่สักพักก็เดินเข้าไปถึง น้ำตกร้อน ได้ โดยตรงจุดนี้มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอยู่เยอะพอสมควร
ตรงนี้เหมือนเป็นขั้น ๆ ตามชั้นลงไปทำให้นั่งแช่ นอนแช่ได้
หลังจากที่ใช้เวลาที่ น้ำตกร้อน นี่ร่วมชั่วโมงเศษ ๆ ก็ได้เวลาออกเดินทางต่อไปยัง สระมรกต ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน (นั่งรถประมาณ 15 นาที) ช่วงบ่ายๆวันแรกนี้มีฝนพรำลงมานิดหน่อยทำให้พื้นดินขึ้นเขตอุทยานนั้นเฉอะแฉะเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ระยะทางจากปากทางเข้าเดินขึ้นไปยังส่วนที่เป็นสระนั้นน่าจะราว ๆ 700 เมตร เห็นจะได้ ก็ค่อนข้างไกลพอสมควรแต่พอมาถึงแล้วก็ถือว่าคุ้มที่ได้เดินขึ้นมาถึง สระมรกต ครับ
จะเห็นว่าเป็นสระขนาดค่อนข้างกว้าง มีนักท่องเที่ยวทั้งไทย และ ชาวต่างชาติ ให้ความสนใจลงเล่นน้ำกันเยอะพอสมควร ความลึกของสระก็น่าจะไม่เกิน 1.8 เมตร มีทั้งส่วนที่ตื้นและลึก เวลาจะขึ้นก็ต้องระวังลื่นกันหน่อยเพราะขอบสระที่จะขึ้นนั้นลื่นมาก ถัดขึ้นไปจากสระมรกตจะเป็นป้ายบอกทางขึ้นไปยัง สระน้ำผุด ซึ่งต้องเดินเท้าตามทางธรรมชาติอีกประมาณ 800 เมตร ซึ่งตอนแรก ผมก็ไม่รู้ว่าสระข้างบนนั้นเล่นไม่ได้ พอเดินไปถึงแล้วก็แอบผิดหวังเล็กๆเหมือนกัน แต่ แลกกับความสวยงามที่ได้เห็น และ มีคนขึ้นมาน้อยมากในตอนนั้นก็คุ้มแล้ว
และ นี่ก็คือ สระน้ำผุด ที่ว่า
เดินขึ้นก็ต้องเดินลง กว่าจะเดินกลับลงมาขึ้นรถได้ก็ตกเย็นแล้ว ที่เที่ยวสุดท้ายของวันนี้คือ วัดถ้ำเสือ ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวเมืองนัก ระหว่างเดินทางกลับก็ได้แวะกินข้าวที่ ร้านป้าเหรียญ ซึ่งเมนูดังของที่นี่คือ หมี่ฮกเกี้ยน ตามรูปด้านล่าง ไม่รู้ว่ารสชาตินั้นอร่อย หรือ หิวกันแน่ สั่งมาพิเศษ ทานกันเกลี้ยงทุกชาม
หลังจากที่เติมพลังแล้วเราก็เดินทางไป วัดถ้ำเสือ ที่วัดนี้เป็นวัดติดภูเขา มีพื้นที่ใหญ่โตมากซึ่งสามารถเดินขึ้นบันไดไปประมาณพันกว่าขั้นเพื่อขึ้นไปสักการะพระประธานได้ที่ยอดเขาและมองเห็นวิวทั้งเมืองกระบี่ ส่วนตัวผมหรอ.. ผมกลัวลิง เลยอยู่ข้างล่างไม่ได้ขึ้นไปข้างบน
หลังจากเดินชมบรรยากาศที่ วัดถ้ำเสือ อยู่สักพักใหญ่ ๆ เหลือบดูนาฬิกาก็ใกล้ค่ำแล้ว เลยเดินทางกลับที่พักไปพักผ่อน อาบน้ำอาบท่า เปลี่ยนเสื้อผ้า ออกมาหาร้านอาหารทะเลนั่งกินกัน และร้านที่เราได้เลือกกันในวันนี้ชื่อร้าน ปูดำ ซึ่งอยู่ติดกับหลักกิโลที่ศูนย์ หรือ รูปปั้นปู สัญลักษณ์ของเมืองกระบี่ ร้านนี้คนค่อนข้างเยอะ อาหารอร่อย ราคารวมแล้วไม่แพงมากด้วยหากเทียบกับกินที่ กรุงเทพฯ
หลังจากทานข้าวเสร็จก็หาที่เดินเล่นไปเรื่อย ทำความรู้จักตัวเมืองกระบี่เล็กน้อยจนมาเจอร้านโรตีร้านนึง เป็นโรตีกรอบที่มีแต่คนรู้จัก ชาวกระบี่เรียกร้านนี้ว่า โรตีหน้าโวค ต้องยอมรับว่าอร่อยอย่างที่เขาว่าจริงๆ ใครที่เดินทางมากระบี่ ต้องลองมาชิมดูครับ ร้านเปิดช่วงหัวค่ำไป จบทริปวันแรกที่ค่อนข้างเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวอยู่เหมือนกัน
ทะเลแหวก – อ่าวนาง – อ่าวนพรัตน์ – หาดไร่เลย์
วันที่สองนี้เป็นทริปเที่ยวทะเลดำน้ำดูประการัง เริ่มเดินทางจากที่พักออกไปยัง หาดนพรัตน์ ด้วยสองแถวที่เหมาต่อมาจากเมื่อวานคันเดิม ระยะทางก็ไม่ได้ไกลมาก ช่วงเช้า ๆ อากาศดี เย็นสบาย ฟ้าเปิด คาดว่าวันนี้น่าจะได้รูปสวยด้วย พอถึงพื้นที่เขตอุทยานแล้ว โกตี๋ ก็ได้ช่วยติดต่อชาวเลให้ เพราะเห็นว่าเป็นคนในพื้นที่เหมือนกันน่าจะช่วยให้ได้ราคาถูกลงมาหน่อย
จนมาพบกับ บังเทา ชาวเลใจดีที่พาเราไปเที่ยวโดยคิดราคาเรื่องหางยาวแบบเหมาลำไปในราคา 2400 บาท
ใช้เวลานั่งเรือออกไปยังทะเลแหวกที่แรกประมาณ 40 นาทีจากฝั่ง ระหว่างทางก็ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศกันอยู่พักใหญ่ ๆ พอมาถึงก็ต้องเสียเงินค่าขึ้นมาเที่ยวกับเจ้าหน้าที่บนเกาะ คนละประมาณ 40 บาท แต่ บังเทา เป็นคนช่วยพูดให้ เลยได้คนละ 25 บาท เขาบอกว่าถ้าเป็นชาวต่างชาติก็จะแพงกว่านี้ อาจจะถึงหลักร้อยด้วย
โชคดีอีกเหมือนกันที่เป็นช่วงที่สามารถเห็นทะเลแหวกให้เดินข้ามได้ เห็นชาวเลหลายคนต่างบอกว่ามาทะเลแหวกต้องดูวันดูแรมด้วย เพราะ บางวันก็มีให้เดินเล่นได้ และ บางวันก็ไม่มี
ขับเรือออกมาจากทะเลแหวกอีกนิดหน่อยก็จะเป็น เกาะหัวไก่ ซึ่งเป็นจุดเล่นน้ำได้
บังเทา ใช้ขนมปังที่ซื้อมาจากร้านค้าอุทยานโยนลงน้ำให้อาหารปลา และเรียกปลามารอบ ๆ เรือ..
มีเงินล้นฟ้า แต่ไม่มีเวลา .. ก็สัมผัสไม่ได้
เราใช้เวลาเล่นน้ำกันแถวนี้ถึงช่วงบ่ายแก่ ๆ ก่อนขึ้นไปเดินเล่นชมวิวที่ หาดไร่เลย์ และ อ่าวพระนาง ซึ่งขอบอกว่าที่นี่ป้ายภาษาไทย หายากกว่าป้ายคำที่เขียนภาษาอังกฤษอีก นั่นอาจจะเป็นเพราะนักท่องเที่ยวที่นี่.. มีแต่ชาวต่างชาติ แล้วไหน ไทยเที่ยวไทย..
เดินจนสุดหาดทั้ง หาดพระนาง และ หาดไร่เลย์ เพราะกลัวว่ามาไม่ถึง มาไม่คุ้ม .. (แต่จริงๆแล้ว หลง) สักการะ ศาลพระนาง ก่อนกลับให้เดินทางปลอดภัยตลอดทริปการเดินทาง
พอกลับเข้ามาที่ฝั่งกว่าจะถึงที่พักก็มืดค่ำพอดี พักอาบน้ำอาบท่า เปลี่ยนชุด แล้วไปเดินเล่น walking street หรือ ถนนคนเดิน เมืองกระบี่ ที่ไม่ไกลที่พัก หาร้านนั่ง กินอาหารพื้นเมือง สังเกตุความเป็นอยู่ และ การค้าขายของคนที่นี่ เนื่องจาก ถนนคนเดิน ที่นี่ไม่ได้ใหญ่เหมือนอย่างกรุงเทพฯ หรือ พัทยา แต่กระทัดรัดแบบอบอุ่นๆ ดูเพลินมีความสุขก่อนกลับไปทาน โรตีหน้าโวค อีกคืนก่อนนอน
ท่าเรือน้ำลึกกระบี่ – เกาะพีพี – จุดชมวิว
เก็บข้าวเก็บของจากที่พักเก่าเตรียมตัวไว้ก่อนจะไปขึ้นเรือเฟอรี่ที่ ท่าเรือน้ำลึก กระบี่ เรือรอบบ่ายโมงครึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง ระยะทางจาก กระบี่ถึงเกาะพีพี นั้นประมาณ 43 กิโล แต่ช่วงเช้ามีเวลาว่างอยู่พอสมควรเลยได้มีโอกาสไปร้านที่ดูรีวิวก่อนมากระบี่ เป็นร้านขนมจีนที่ขึ้นชื่อมากใน pantip ชื่อว่าร้าน โกจ้อย
ขนมจีน กับ ไก่ทอด ขนมจีนเส้นสดมาก ไก่ทอดก็กรอบอร่อยแบบไม่ต้องใช้น้ำจิ้ม (หรือว่าเขาไม่มีให้ ก็ไม่รู้) แต่ผัก และ เครื่องเคียงก็ถือว่าเยอะให้เลือกกันได้ตามสบาย บนโต๊ะมีถ้วยแกงไตปลาให้ทานคู่กับขนมจีนได้โดยไม่คิดเงินเพิ่ม ส่วนราคาก็ไม่ได้แพง ไม่ได้ต่างกับร้านขนมจีนที่อื่นเลย
กลับเข้ามาตัวเมืองยังมีเวลานิดหน่อย เลยขึ้นไปถ่ายรูปวัดประจำจังหวัดก่อนเดินทางไปท่าเรือสักรูปสองรูป
บนเรือก็นั่งกินลมสบาย ๆ มีแต่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ไอเราก็เป็นกลุ่มคนไทยเล็ก ๆ ในไม่กี่กลุ่มบนเรือลำนี้ และ ในที่สุดก็เห็นที่เทียบเรือเกาะพีพี
ตอนแรกก็คิดกันว่าของ และ อาหารการกินบนเกาะน่าจะแพงเหมือนกับเกาะอื่นๆที่เคยไปเที่ยว อย่างเช่น ข้าวจานละร้อยขึ้น น้ำเปล่าขวดละ 30 บาท ผลไม้อะไรต่ออะไร แต่เมื่อไปเห็นเองแล้วก็เหมือนคิดผิด ราคาของกินของใช้ต่าง ๆ ก็ค่อนข้างเหมือนทั่วไป ข้าวปลาอาหารก็มีเพียบพร้อม และ ที่ขาดไม่ได้เลยของเกาะนี้ ผมเห็นว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอลทั้งหลายนั้นมีให้เห็นบ่อยกว่าของกินอื่น ๆ ด้วยซ้ำ (ถูกด้วย)
ผมได้ที่พักคืนละ 1,500 บาท อยู่ลึกขึ้นไปทางเขาหน่อยชื่อ ท่าแพร รีสอร์ท เป็นรีสอร์ทที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นใหม่ ห้องก็โอเค ทีแรกนึกว่ามาเที่ยวเกาะนี้ต้องจองล่วงหน้า แต่ได้มาคุยกับแม่ค้าแม่ขายที่เป็นคนไทยที่อยู่บนเกาะ ก็ต่างบอกตรงกันว่า ไม่จำเป็นต้องจองก็ได้ นึกไม่ถึงว่าเกาะพีพีหรือที่อยู่ในตอนนั้นจะเป็นจุดเดียวกับที่ซีนามิมาตอน 8 ปีก่อน และดูเหมือนว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะไม่ได้สนใจอะไร ต่างก็ใช้ชิวิตตามปรกติ ตื่น เมา กิน นอน ไปเรื่อย
พ่อค้าแม่ค้าคนไทยที่นี่ดูแล และ ให้การต้อนรับพวกเราค่อนข้างดีครับ อาจจะเป็นเพราะ เห็นนักท่องเที่ยวชาวไทยบนเกาะนี้ไม่บ่อยนัก และตลอด 2 วันที่ผมอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้เจอนักท่องเที่ยวคนไทยเลย ธุรกิจประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ของเกาะเป็นของชาวต่างชาติไปแล้วด้วยซ้ำ
ตกเย็น เอาของเก็บที่พักเรียบร้อยก็ถามไถ่คนแถวนั้นถึงจุดชมวิวที่เป็นที่ขึ้นชื่อ ถึงขนาดว่า ถ้ายังขึ้นไปไม่ถึง ก็เหมือนไม่ได้มาเกาะพีพี .. ผมก็ฟังมาแบบนั้น ก็เลยลองขึ้นไปดูสักหน่อย
ถ้ามีขาตั้งกล้องน่าจะถ่ายอะไร ๆ ได้เยอะ และ สะดวกกว่านี้หน่อย แต่ลำพังแค่กล้องตัวเดียวก็แบกขึ้นมาลำบากแล้ว
กว่าจะเดินขึ้นแล้วเดินลงก็มืดค่ำพอดี หาอะไรทานเล่นแล้วเดินเล่นชายหาดยามค่ำคืนดูเสียหน่อย ก็พบว่าร้อยละ 90 ของหาดฝั่งด้านหลังเป็น บาร์ และ ผับ มีชาวต่างชาติให้ความสนใจ และ สนุกครื้นเครงเป็นอย่างมาก ส่วนถ้าเดินย้อนขึ้นมาถึงหน้าหาดก็จะเป็นทั้งร้านขายของทั่วไป ขายแอลกอฮอล ร้านสัก ร้านพิซซ่า และ บาร์นั่ง เสมือนกับเกาะนี้เป็นสวรรค์ที่มีแต่ความสนุกดี ๆ นี่เอง
และที่นี่ เหล้าถัง แบบนี้ ถือเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมอยู่เหมือนกัน
ผมใช้เวลาที่เหลือบนเกาะเพื่อพักผ่อนให้เต็มที่หลังจากที่ออกไปเที่ยวต่าง ๆ มาเต็มทั้ง 2 วัน พร้อมกับสภาพอากาศที่มืดฟ้าครึ้มฝน และ ฝนตกประปรายบางเวลา อาจจะตกไม่นาน แต่ก็ทำให้เปียก และ ออกเรือไปเที่ยวเกาะทางใต้ได้ไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่ จึงตัดสินใจเที่ยวเล่นอีกหนึ่งวันที่เหลือ ระหว่างรอรอบเรือกลับฝั่งไปกระบี่ ได้มาเจอบาร์นึงค่อนข้างน่านั่ง แล้วก็ปักหลักแช่ที่นี่ยาวตั้งแต่บ่ายจนถึงเวลาขึ้นเรือ
ขึ้นเรือกลับฝั่งรอบบ่าย 3 ถึงฝั่งกระบี่ 5 โมงนิด ๆ ก็แวะล้างหน้าล้างเนื้อล้างตัวที่บ้านลุงที่รู้จัก บอกลาจังหวัดกระบี่แต่เพียงเท่านี้ ก่อนบินกลับกรุงเทพฯ โดยสายการบิน Airasia สรุปการเดินทางใช้เวลา 5 วัน 4 คืน พักโรงแรม 2 ที่ กินอยู่เที่ยวแบบมาพักผ่อนจริงจัง ใช้เงินไปประมาณหมื่นเศษ รวมค่าเครื่องไปกลับ
ถ้าพูดถึงแล้ว .. ผมก็อยากจะมาลองใช้ชิวิตที่นี่ดูบ้างสักเดือนนึง ให้ออกจากชีวิตเดิม ๆ ชีวิตประจำวันเดิม ๆ รถติดเดิม ๆ นั่งทำงานหน้าคอมเดิม ๆ ออกมาหาแรงบันดาลใจ อยู่กับอะไรที่มันง่าย ๆ ไม่ต้องเรียกร้องเทคโนโลยี หรือ สิ่งของหรูหราราคาแพง ไม่รู้สิ .. ผมอาจจะไม่ได้รัก กรุงเทพฯ อย่างที่คนอื่นคิดว่า กรุงเทพฯเป็นเมืองสวรรค์กันอย่างทุกวันนี้
ผมเชื่อว่าหลายคนที่อยู่กรุงเทพฯ อาจจะอยากออกจากกรุงเทพฯ ไปใช้ชีวิตข้างนอกบ้าง แต่ติดที่อะไรบางอย่าง บางอย่างที่เราแบกภาระไว้บนบ่าอย่างหนักอึ้งจนทำให้คิดว่าเราขยับตัวออกจากมหานครและกองงานเหล่านั้นไม่ได้ ผมล่ะอิจฉา พ่อค้าแม่ค้าบนเกาะนี้เสียจริง ..
ขอบคุณการเดินทางที่ทำให้เราได้รู้อะไรมากขึ้น มากขึ้น เกี่ยวกับตัวเรา
ภาพทั้งหมดอยู่ในอัลบัมนี้ http://www.flickr.com/photos/jir4yu/sets/72157632344417090/ (รวมทั้งภาพที่ไม่ได้นำมาประกอบบทความ)
Jir4yu.